คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6502/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์แต่เนื่องจากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์จึงขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์ของจำเลยแล้วการที่จำเลยยื่นคำแถลงขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ค้างชำระทั้งหมดพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดีเป็นการขอถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา295(1) การขอถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา295(1)นั้นลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องวางเงินต่อศาลเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยซึ่งค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีนั้นรวมถึงค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง5ข้อ3ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเมื่อภายหลังที่มีการยึดทรัพย์แล้วจำเลยนำเงินมาวางศาลเฉพาะที่ค้างชำระหนี้โจทก์และค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเท่านั้นโดยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายไว้ด้วยการที่ศาลชั้นต้นสั่งถอนการบังคับคดีจึงไม่ถูกต้องโจทก์ชอบที่จะบังคับคดีต่อไปได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามตั๋วเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 316,897 บาท พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความเป็นเงิน 5,000 บาท ให้แก่โจทก์ โดยผ่อนชำระเป็นงวด ๆ แต่จำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์ขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์จำเลยและนำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 16077 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์
ก่อนการขายทอดตลาดจำเลยที่ 1 ยื่นคำแถลงวันที่ 3 กุมภาพันธ์2537 ขอวางเงินต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ค้างอยู่ทั้งหมดพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่โจทก์ และขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดี โดยจำเลยที่ 1 วางเงินต่อศาลจำนวน 223,938.25บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับเงินไว้ และถอนการบังคับคดี
ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงขอรับเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางศาลศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หักค่าฤชาธรรมเนียมในการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายไว้ ส่วนที่เหลือจึงจ่ายให้โจทก์ เจ้าหน้าที่หักค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายไว้เป็นเงิน24,500 บาท แล้วจ่ายส่วนที่เหลือให้โจทก์ไปเป็นเงิน 199,438.25บาท โจทก์ยื่นคำร้องว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้หักค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายจากเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางชำระหนี้โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองยังชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมไม่ครบถ้วน เพราะจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินค่าธรรมเนียมส่วนนี้แทนโจทก์ด้วย ที่ศาลชั้นต้นสั่งถอนการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 จึงไม่ถูกต้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ยก คำร้องขอ งโจทก์
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งการบังคับคดีโดยให้ถือว่าการยึดทรัพย์จำเลยที่ 1 ยังมีผลต่อไป
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าจำเลยที่ 2 มีสิทธิฎีกาด้วยหรือไม่ เห็นว่า ทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เป็นของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1เท่านั้นที่ขอวางเงินเพื่อให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดี ซึ่งมีผลให้ถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จำเลยที่ 2ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขอให้ถอนการบังคับคดีนี้ทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในส่วนของจำเลยที่ 2 คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการบังคับคดีชอบหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองชำระเงินแก่โจทก์ แต่เนื่องจากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์จึงขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีแล้ว การที่จำเลยที่ 1ยื่นคำแถลงขอชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ค้างชำระทั้งหมดพร้อมค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดีเป็นการขอถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295(1) ซึ่งลูกหนี้ตามคำพิพากษาต้องวางเงินต่อศาลเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีหรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วยซึ่งค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีนั้น ค่าธรรมเนียมเมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็เป็นค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเป็นค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีด้วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม ดังนั้น จำเลยที่ 1 ต้องวางเงินต่อศาลเป็นจำนวนพอชำระหนี้ตามคำพิพากษา พร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดี หรือค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีให้ครบถ้วนเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) แต่คดีนี้จำเลยที่ 1 นำเงินมาวางศาลเฉพาะที่ค้างชำระหนี้โจทก์และค่าฤชาธรรมเนียมแห่งคดีเท่านั้น โดยมิได้วางเงินค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีอันรวมถึงค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายไว้ด้วย ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นสั่งให้หักเงินค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายจากเงินที่จำเลยที่ 1 นำมาวางชำระหนี้ต่อศาล จึงทำให้เงินที่วางไว้ไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อจำเลยที่ 1 ยังวางเงินไม่ครบถ้วนเช่นนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งถอนการบังคับคดีจึงไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295(1) โจทก์ชอบจะบังคับคดีต่อไปได้”
พิพากษายืน

Share