แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ยื่นฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับคำฟ้องหมายเรียกและสำเนาให้จำเลยแบบคดีมโนสาเร่ให้โจทก์นำส่งภายใน7วันถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน7วันนับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องซึ่งเมื่อโจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองในครั้งแรกไม่ได้โจทก์ได้ยื่นคำแถลงภายในกำหนดขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองอีกครั้งหนึ่งอันเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวแล้วส่วนในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองครั้งที่สองนั้นศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดในกรณีที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองไม่ได้ทั้งไม่ได้สั่งให้โจทก์นำส่งและเมื่อศาลแขวงตลิ่งชันมีหนังสือแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบว่าได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยที่2เมื่อวันที่30มกราคม2537แต่ส่งไม่ได้ศาลชั้นต้นก็เพียงมีคำสั่งว่า”รอโจทก์แถลง”ทั้งเมื่อพนักงานเดินหมายของศาลชั้นต้นรายงานว่าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในครั้งที่สองให้แก่จำเลยที่1ไม่ได้เมื่อวันที่6กุมภาพันธ์2537ศาลชั้นต้นก็เพียงมีคำสั่งเช่นเดิมว่า”รอโจทก์แถลง”โดยศาลชั้นต้นมิได้ส่งคำสั่งที่สั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวทั้งสองฉบับให้โจทก์ทราบดังนั้นแม้โจทก์มิได้แถลงว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นรายงานเมื่อวันที่4มีนาคม2537ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่1และที่2ไม่ได้ถึง25วันและ32วันตามลำดับแล้วก็ตามก็ไม่เป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 20,210.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 18,800.25 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ต่อมาระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าเมื่อส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองในครั้งแรกไม่ได้แล้วศาลไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้มีหน้าที่ในการนำส่งหมายเรียกอีกและเมื่อพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองครั้งใหม่ไม่ได้ ศาลก็มีคำสั่งในรายงานการส่งหมายเพียงว่า “รอโจทก์แถลง” โดยไม่ได้มีการแจ้งคำสั่งศาลหรือกำหนดให้โจทก์ดำเนินการใด ๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้แก่โจทก์ซึ่งไม่ได้อยู่ในศาลในเวลาที่ศาลมีคำสั่งทราบ โจทก์จึงไม่ทราบคำสั่งศาลนั้น เห็นว่า ในการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่า “รับคำฟ้องหมายเรียกและสำเนาให้จำเลยแบบคดีมโนสาเร่ ให้โจทก์นำส่งภายใน 7 วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 7 วัน นับแต่วันฟ้องไม่ได้ มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง” ซึ่งเมื่อโจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองในครั้งแรกไม่ได้ โจทก์ได้ยื่นคำแถลงเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2537 ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง โจทก์จึงได้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นแล้วส่วนในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองครั้งที่สองนั้น ไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดในกรณีที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองไม่ได้แต่อย่างใดและเมื่อศาลแขวงตลิ่งชันมีหนังสือแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบผลการส่งหมายและสำเนาคำฟ้องในครั้งที่สองให้แก่จำเลยที่ 2 โดยปรากฏจากรายงานเจ้าหน้าที่ของศาลดังกล่าวว่าได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2537 แต่ส่งไม่ได้เพราะไม่พบบ้านเลขที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2ศาลชั้นต้น ก็เพียงมีคำสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวว่า”รอโจทก์แถลง” ทั้งเมื่อพนักงานเดินหมายของศาลชั้นต้นรายงานว่าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในครั้งที่สองให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2537 ศาลชั้นต้นก็เพียงมีคำสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่เช่นเดิมว่า “รอโจทก์แถลง”โดยศาลชั้นต้นมิได้ส่งคำสั่งที่สั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวทั้งสองฉบับให้โจทก์ทราบแต่อย่างใด ดังนั้นแม้โจทก์มิได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปจนกระทั่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 5 ของศาลชั้นต้นรายงานต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2537 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ไม่ได้ถึง 25 วัน และ 32 วัน ตามลำดับแล้วก็ตามก็ย่อมไม่เป็นกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว อันเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ซึ่งศาลชั้นต้นชอบที่จะจำหน่ายคดีออกจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษา ยืนนั้น จึงไม่ชอบ
พิพากษากลับ ให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองใหม่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป