คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่1ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนของโจทก์และทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่าจำเลยที่1จะต้องกลับมาราชการชดใช้ทุนหากผิดสัญญายอมชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับแก่โจทก์โดยมีก.เป็นผู้ค้ำประกันดังนี้เมื่อปรากฏว่าก.ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายลงในระหว่างเวลาที่จำเลยที่1ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัดจึงยังไม่มีหนี้ของก.ที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้สัญญาค้ำประกันของก.ที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาทจำเลยที่2ที่5และที่6ซึ่งเป็นทายาทของก.จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งขณะนั้นเป็นข้าราชการพลเรือนในสังกัดของโจทก์ตำแหน่งอาจารย์โท ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทุนของโจทก์โดยได้รับเงินเดือนเต็มระหว่างลาได้ทำสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษาณ ต่างประเทศ ให้ไว้แก่โจทก์มีสาระสำคัญว่า เมื่อจำเลยที่ 1เสร็จการศึกษาแล้วไม่ว่าจะสำเร็จการศึกษาหรือไม่ จำเลยที่ 1จะต้องกลับมารับราชการต่อ หากจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม จำเลยที่ 1 จะต้องชดใช้คืนให้แก่โจทก์ซึ่งทุนและหรือเงินเดือนรวมทั้งเงินเพิ่มและหรือเงินอื่นใดทั้งสิ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการในระหว่างเวลาที่ไปศึกษาดังกล่าวพร้อมเบี้ยปรับ นายเกรียงไกร วนิชพงศาได้ทำสัญญาค้ำประกันให้ไว้แก่โจทก์มีสาระสำคัญว่า ถ้าจำเลยที่ 1ผิดสัญญาดังกล่าวด้วยประการใด ๆ ก็ตาม นายเกรียงไกรยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาดังกล่าวทั้งสิ้นทุกประการ ต่อมาจำเลยที่ 1 ขอลาออกจากราชการไปเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2526 โดยมิได้กลับมารับราชการชดใช้ตามสัญญาเลยแม้แต่วันเดียวอันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์และทางราชการได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้คืนให้แก่โจทก์ซึ่งทุน เงินเดือน เงินเพิ่ม เงินอื่น ๆ และเบี้ยปรับ1 เท่า รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,464,831.40 บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้ดังกล่าวภายใน 30 วัน นับถัดจากวันรับหนังสือ จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือแล้ว เมื่อวันที่20 มกราคม 2528 แต่เพิกเฉย รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องทั้งสิ้นจำนวน 3,816,493.66 บาท สำหรับนายเกรียงไกรในฐานะผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้นแต่นายเกรียงไกรได้ถึงแก่ความตายแล้วความรับผิดในการชำระหนี้ดังกล่าวจึงตกทอดไปยังจำเลยที่ 2ถึงที่ 6 ซึ่งเป็นทายาทผู้รับมรดกของนายเกรียงไกร แต่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 3,816,493.66 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 2,430,743.91 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้การว่า นายเกรียงไกรได้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2521 และภายในวันที่10 ธันวาคม 2522 โจทก์ทราบดีว่าผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายรวมทั้งรู้ว่าจำเลยเป็นทายาท ต่อมาวันที่ 7 กันยายน 2526จำเลยที่ 1 ขอลาออกจากราชการ ซึ่งโจทก์ก็ได้อนุมัติให้ลาออกโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ในฐานะทายาทนายเกรียงไกรวนิชพงศา ผู้ค้ำประกันชำระแทน ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3และที่ 4
จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่8 กรกฎาคม 2519 จำเลยที่ 1 ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทุนของโจทก์ ได้ทำสัญญาต่อโจทก์ว่า จำเลยจะต้องกลับมารับราชการเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของเวลาที่ได้รับทุน หากผิดสัญญาจะต้องชดใช้เงินคืนและจ่ายเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ ในวันเดียวกันนั้นนายเกรียงไกรวนิชพงศา ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ว่า หากจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาดังกล่าวนายเกรียงไกร ยินยอมชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามความรับผิดชอบของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาดังกล่าวทั้งสิ้น เมื่อครบกำหนด 2 ปี จำเลยที่ 1 สำเร็จชั้นปริญญาโทตามที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาต่อแล้ว ทางราชการได้อนุมัติให้จำเลยที่ 1 ลาศึกษาต่อในชั้นปริญญาเอกแต่ยังไม่จบการศึกษาจำเลยที่ 1 ได้ลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2526ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 3 เมษายน 2530 ทวงถามให้จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ในฐานะทายาทของนายเกรียงไกรผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่นายเกรียงไกรทำไว้ต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ลาออกจากราชการตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2526เท่ากับจำเลยที่ 1 ไม่กลับมารับราชการต่อไปจึงเป็นการผิดสัญญาข้อง 3 ตามสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาข้อ 3 ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2526 ซึ่งโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 นำเงินชดใช้คืนแก่ทางราชการจำเลยที่ 1 ได้รับแล้ว แต่ไม่ชำระและถือว่าตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2528 ปรากฏว่านายเกรียงไกรถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2521ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและได้ตกเป็นผู้ผิดนัดเมื่อนายเกรียงไกร ถึงแก่ความตายลงในระหว่างที่จำเลยที่ 1ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัด จึงยังไม่มีหนี้ของนายเกรียงไกรที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้ สัญญาค้ำประกันของนายเกรียงไกรที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาท จำเลยที่ 2 ที่ 5และที่ 6 ซึ่งเป็นทายาทของผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน
พิพากษายืน

Share