คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5199/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยมีข้ออ้างว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองอยู่จนถึงวันส่งคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนคดีก่อนข้ออ้างที่โจทก์กล่าวหาก็คือเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อซื้อแล้วจำเลยยังครอบครองรถยนต์เช่าซื้ออยู่ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ใช้ราคารถยนต์และค่าขาดประโยชน์ข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกันแม้ฟ้องของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยครอบครองรถยนต์แล้วไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์หลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วส่วนคดีนี้เป็นเรื่องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไปแต่ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยก็เนื่องมาจากมูลฐานเดียวกันคือความเสียหายอันเกิดแต่สัญญาเช่าซื้อนั่นเองค่าภาษีรถยนต์ที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นหนี้ที่อยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้วโจทก์อาจฟ้องเรียกจากจำเลยได้ในคดีเรื่องก่อนแต่โจทก์ไม่ฟ้องจึงเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2530 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ หมายเลขทะเบียน น-5382 นครราชสีมา และหมายเลขทะเบียน 80-4029 นครราชสีมา ไปจากโจทก์โดยมีข้อสัญญาว่าบรรดาค่าธรรมเนียม ค่าภาษีต่าง ๆ ในกาใช้รถยนต์ดังกล่าว ค่าปรับก็ดีผู้เช่าซื้อจะต้องออกเงินชำระแต่ผู้เดียว โจทก์เคยฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ทั้งสองคันดังกล่าวที่ศาลจังหวัดนครราชสีมา ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ทั้งสองคันคืนแก่โจทก์ ปรากฎตามสำเนาคำพิพากษาฎีกาที่ 202-203/2535และโจทก์ได้รับรถยนต์ทั้งสองคืนมา เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2535โจทก์ได้ตรวจสอบการชำระภาษีจึงทราบว่า จำเลยมิได้ชำระค่าภาษีการใช้รถยนต์ทั้งสองคันให้แก่กรมการขนส่งทางบกตลอดระยะเวลาที่ครอบครองใช้ประโยชน์อยู่จนถึงวันส่งคืนการครอบครองให้แก่โจทก์อันเป็นการผิดสัญญาข้อ 6 โจทก์ต้องชำระค่าภาษีดังกล่าวรวมทั้งค่าปรับ เงินเพิ่มแก่กรมการขนส่งทางบกไปเพื่อที่โจทก์จะมีรถยนต์ทั้งสองคันไปใช้ประกอบธุรกิจขายหรือให้เช่าซื้อต่อไป รวมเป็นเงินค่าภาษีและค่าปรับ เงินเพิ่มรถยนต์ทั้งสองคันที่โจทก์ชำระไปทั้งสิ้นจำนวน 24,278.36 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน24,278.36 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ตามคำฟ้องโจทก์ปรากฎว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยในเรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อ และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้ก็โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อฉบับเดียวกันซึ่งโจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องในคดีก่อนได้อยู่แล้ว ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของจำเลยมีว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดนครราชสีมาตามคำพิพากษาฎีกาท้ายฟ้องเอกสารหมายเลข 5 หรือไม่ เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีเรื่องนี้โดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าภาษีรถยนต์ทั้งสองคัน ที่โจทก์ได้ชำระแทนจำเลยให้แก่กรมการขนส่งทางบกตลอดระยะเวลาที่จำเลยครอบครองใช้ประโยชน์อยู่จนถึงวันส่งคืนการครอบครองให้แก่โจทก์ ตามสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้องหมายเลข 3 ข้อ 6 (ที่ถูกต้องคือสัญญาข้อ 3)ส่วนคดีเรื่องก่อนข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาก็คือเมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าซื้อแล้ว จำเลยยังครอบครองรถยนต์ทั้งสองคันที่เช่าซื้ออยู่ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ใช้ราคารถยนต์ทั้งสองคันและค่าขาดประโยชน์ เห็นได้ว่าข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องมาจากสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้องหมายเลข 3 ข้อ 3 ฉบับเดียวกัน แม้ฟ้องของโจทก์ในคดีเรื่องก่อนจะขอให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่จำเลยครอบครองรถยนต์ทั้งสองคันแล้วไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์หลังจากบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้วส่วนคดีนี้เป็นเรื่องเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีรถยนต์ที่โจทก์ชำระแทนจำเลยไป แต่ประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยก็เนื่องจากมูลฐานเดียวกัน คือความเสียหายอันเกิดแก่สัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้องหมายเลข 3 นั้นเอง ค่าภาษีรถยนต์ทั้งสองคันที่จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อท้ายฟ้องหมายเลข 3 ข้อ 3 นั้น เป็นหนี้ที่มีอยู่ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีเรื่องก่อนแล้ว โจทก์อาจฟ้องเรียกจากจำเลยได้ในคดีเรื่องก่อน แต่โจทก์หาฟ้องไม่ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ที่ห้ามมิให้คู่ความเดียวกันรื้อฟ้องร้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์คดีเรื่องก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share