คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4918/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานโดยไม่ได้แนบสำเนาบัญชีระบุพยานให้แก่จำเลยแต่พยานหลักฐานตามบัญชีระบุพยานดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลรับฟังพยานหลักฐานนั้นโดยให้โจกท์นำพยานเข้าสืบได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา87(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมจำนวน48,429.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 46,400 บาท ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณปี 2532 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์14,000 บาท โดยมิได้ทำสัญญากู้กันไว้แต่โจทก์ให้จำเลยลงชื่อในสัญญาฝากของซึ่งยังมิได้กรอกข้อความ ต่อมาโจทก์ให้จำเลยคืนเงินที่โจทก์ให้ยืมพร้อมดอกเบี้ยค้างชำระ จำเลยไม่มี โจทก์จะแจ้งข้อหายักยอกทรัพย์เพื่อบีบบังคับจำเลย ต่อมาโจทก์ให้จำเลยชำระเงินที่กู้ยืมคืนให้โจทก์ถ้าไม่มีให้ทำสัญญาใหม่โดยโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นเงิน 46,460 บาทถ้าจำเลยไม่ยอมทำสัญญาจะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย จำเลยกลัวเสียชื่อเสียง จึงทำสัญญากู้ให้ไว้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าการที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานโดยมิได้แนบสำเนาบัญชีระบุพยานให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสองด้วยนั้น จะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบหรือไม่เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ตามที่ปรากฏในบัญชีระบุพยานโจทก์ซึ่งไม่ได้แนบสำเนาบัญชีระบุพยานให้แก่จำเลยด้วยนั้นล้วนเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีแม้จะปรากฏว่าโจทก์มิได้แนบสำเนาบัญชีระบุพยานให้แก่จำเลยก็ตามแต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมศาลก็ชอบที่จะรับฟังพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)ดังนั้นจึงเป็นการสมควรที่จะรับฟังพยานหลักฐานตามบัญชีระบุพยานของโจทก์ดังกล่าว โดยให้โจทก์นำพยานเข้าสืบได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share