แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรื่องละเมิดว่าจำเลยที่1เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ตามเช็คจำเลยที่2และที่3เบิกความเท็จและจำเลยที่1เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่3เบิกความเท็จเป็นเหตุให้ศาลเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คและพิพากษาให้โจทก์รับผิดชำระหนี้ตามเช็คทำให้โจทก์เสียหายจำเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าเมื่อฟังว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คโจทก์ต้องรับผิดชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา900วรรคแรก,901ส่วนที่จำเลยที่2และที่3เบิกความว่าโจทก์นำเช็คมาให้แก่จำเลยที่1เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดีแม้เป็นความเท็จจำเลยที่1และที่3ก็ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จอันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์การที่ศาลอุทธรณ์ภาค2หยิบยกมาตรา900วรรคแรก,901ขึ้นมาวินิจฉัยคดีก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าที่จำเลยที่2และที่3เบิกความว่าโจทก์นำเช็คพิพาทมาให้แก่จำเลยที่1เป็นความเท็จคำเบิกความดังกล่าวก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยที่2และที่3ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์จำเลยที่1ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยเป็นการวินิจฉัยในเรื่องละเมิดตามอุทธรณ์ของโจทก์ไม่ใช่เป็นการนำตัวบทกฎหมายในเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับประเด็นมาวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยเมื่อวันที่21 พฤศจิกายน 2527 จำเลยที่ 1 ได้มอบให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์กับพวกให้ใช้เงินตามเช็คตามคดีหมายเลขดำที่ 1612/2527 ของศาลชั้นต้น(ต่อมาเป็นคดีหมายเลขแดงที่1035/2528) ต่อมาวันที่ 26 กุมภาพันธ์2528 จำเลยที่ 2 ได้จงใจเบิกความอันเป็นเท็จในคดีหมายเลขแดงที่1035/2528 ว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2527 โจทก์ได้นำเช็คธนาคารกสิกรไทย สาขาศรีดอนไชย ลงวันที่ 30 เมษายน 2527 จำนวนเงิน50,000 บาท ซึ่งนายสุ่ยหรือชุ่ยกัง แซ่เจี่ย จำเลยที 1 ในคดีดังกล่าวเป็นผู้สั่งจ่ายมาชำระหนี้ค่าถมที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้ก่อให้จำเลยที่ 3ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เบิกความเท็จในการพิจารณาคดีหมายเลขแดงที่ 1035/2528 ว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2527 โจทก์ได้นำเช็คฉบับที่นายสุ่ยกังเป็นผู้สั่งจ่ายลงวันที่ 30 เมษายน 2527ไปมอบให้จำเลยที่ 1 ที่สำนักงานของจำเลยที่ 1 โดยมอบให้จำเลยที่ 3 ก่อน บอกว่าเป็นค่าถมดิน ความจริงโจทก์ไม่ได้เป็นหนี้ค่าถมดิน และไม่ได้นำเช็คดังกล่าวไปชำระค่าถมดินและศาลฎีกาวินิจฉัยตามคดีหมายเลขแดงที่ 1035/2528 ว่า โจทก์ไม่ได้เป็นหนี้ค่าถมดิน และไม่ได้นำเช็คฉบับดังกล่าวไปชำระค่าถมดิน การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เอาข้อความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จไปเบิกความเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามคำพิพากษา ค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าจ้างทนายความและเสียหายแก่ชื่อเสียงและธุรกิจการค้ารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 200,669.76 บาทแต่โจทก์คิดเพียง 200,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 200,000 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ 1035/2528 ของศาลชั้นต้นเพื่อเรียกร้องเงินตามเช็คจากโจทก์เพราะโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คมอบให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงใช้สิทธิโดยชอบ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความในคดีดังกล่าวตามความจริงที่ได้รู้เห็นมา คดีดังกล่าวศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้ตามเช็คให้แก่จำเลยที่ 1 โดยเชื่อว่าตามพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงไม่ได้ฟังเป็นยุติว่าโจทก์ไม่เป็นหนี้ค่าถมดิน และไม่ได้นำเช็คฉบับดังกล่าวไปชำระค่าถมดิน จำเลยทั้งสามมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเชื่อว่าคำเบิกความของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นความจริง การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อข้อเท็จจริงในคดีหมายเลขแดงที่ 1035/2528 ฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทในคดีดังกล่าว โจทก์จึงต้องรับผิดตามเนื้อความในเช็คนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคแรก,901 ส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความว่า โจทก์นำเช็คพิพาทมามอบให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดี แม้เป็นความเท็จ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จอันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้ยกฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์เฉพาะข้อกฎหมาย ที่โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในเรื่องละเมิด โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 1 ได้เป็นโจทก์ในคดีก่อนฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับพวกเป็นจำเลยให้รับผิดชำระหนี้ตามเช็คตามคดีหมายเลขแดงที่ 1035/2528 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 และที่ 3เอาข้อความที่รู้อยู่ว่าเป็นเท็จไปเบิกความต่อศาลในคดีดังกล่าวและจำเลยที่ 1 เป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 3 เบิกความเท็จ เป็นเหตุให้ศาลเชื่อว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็คในคดีดังกล่าวและพิพากษาให้โจทก์รับผิดชำระหนี้ตามเช็ค ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยละเมิด จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสามกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420, 421 หรือไม่แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับวินิจฉัยว่า เมื่อฟังว่าโจทก์เป็นผู้สลักหลังเช็ค โจทก์จึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามเนื้อความในเช็คตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคแรก, 901 ส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความในคดีดังกล่าวว่าโจทก์นำเช็คพิพาทมาให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดีแม้เป็นความเท็จ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จอันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จึงเป็นข้อวินิจฉัยไม่ชอบนั้น เห็นว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900 วรรคแรก, 901 ขึ้นมาเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยคดีดังกล่าวก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่า ที่จำเลยที่ 2และที่ 3 เบิกความว่า โจทก์นำเช็คพิพาทในคดีดังกล่าวมาให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นความเท็จ คำเบิกความดังกล่าวก็เป็นเพียงรายละเอียดไม่เป็นข้อสำคัญในคดีจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จอันจะเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ 2และที่ 3 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นผู้ก่อให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคแรก, 901 มาเป็นเหตุผลในการวินิจฉัย จึงเป็นการวินิจฉัยในเรื่องละเมิดตามอุทธรณ์ของโจทก์ หาใช่เป็นการนำตัวบทกฎหมายในเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับประเด็นมาวินิจฉัยดังโจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน