แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญา บัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้คืนจะสิ้นสุดลงต่อเมื่อ คู่สัญญาตกลง เลิกสัญญาต่อกันหรือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเรียกร้องให้ หักทอนบัญชีและให้ชำระหนี้ที่มีต่อกันแล้ว โจทก์ บอกเลิกสัญญา บัญชีเดินสะพัดที่มิได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้คืนไว้ส่งไปถึง ส. วันที่30เมษายน2534และเรียกร้องให้ชำระหนี้ค้างชำระแก่โจทก์ภายใน15วันนับจากวันที่ได้รับ หนังสือทวงถาม ถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกและหักทอนบัญชีในวันที่ได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญา อายุความแห่ง สิทธิเรียกร้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาชำระหนี้ที่โจทก์ผ่อนผันให้คือวันที่16พฤษภาคม2534โจทก์ ฟ้องคดีวันที่4ธันวาคม2535ยังไม่เกิน10ปีจึง ไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ชำระ เงิน จำนวน134,066.36 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ 19 ต่อ ปี ของต้นเงิน 46,731.49 บาท นับ ถัด จาก วันฟ้อง เป็นต้น ไป จนกว่าจะ ชำระ เสร็จ แก่ โจทก์
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ขอให้ ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้องโจทก์ โดย ไม่ ตัด สิทธิ โจทก์ที่ จะ นำ คำฟ้อง มา ยื่น ใหม่ ภายใต้ บังคับ แห่ง บทบัญญัติ ของ กฎหมายว่าด้วย อายุความ
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “คดี มี ปัญหาข้อกฎหมาย ที่ ต้อง วินิจฉัย ตามฎีกา ของ โจทก์ เพียง ประเด็น เดียว ว่า คดี โจทก์ ขาดอายุความ หรือไม่ข้อเท็จจริง ตาม ที่ โจทก์ นำสืบ และ จำเลย ทั้ง สอง มิได้ นำสืบ โต้เถียงฟัง เป็น ยุติ ได้ว่า เมื่อ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2520 นาย สุรชัย สามี ของ จำเลย ที่ 1 และ เป็น บิดา ของ จำเลย ที่ 2 ได้ เปิด บัญชีกระแสรายวัน (บัญชีเดินสะพัด ) กับ โจทก์ บัญชี ดังกล่าว เดินสะพัดเรื่อย มา จน กระทั่ง ถึง วันที่ 30 พฤศจิกายน 2524 จึง หยุด เดินสะพัดใน วันที่ บัญชี หยุด เดินสะพัด นาย สุรชัย เป็น หนี้ โจทก์ อยู่ จำนวน 46,731.49 บาท หนี้ จำนวน ดังกล่าว นาย สุรชัย ไม่ได้ชำระ ให้ แก่ โจทก์ จน กระทั่ง โจทก์ ได้ มอบหมาย ให้ ทนายความ มี หนังสือ ลงวันที่29 เมษายน 2534 บอกเลิก สัญญา ไป ยัง นาย สุรชัย และ เรียกร้อง ให้ นาย สุรชัย ชำระหนี้ ที่ ค้างชำระ ทั้งหมด พร้อม ดอกเบี้ย แก่ โจทก์ นาย สุรชัย ได้รับ หนังสือ ดังกล่าว เมื่อ วันที่ 30 เมษายน 2534รายละเอียด ปรากฏ ตาม ใบ ตอบรับ ใน ประเทศ และ สำเนา หนังสือ ของ ทนายความเอกสาร หมาย จ. 10 และ จ. 11 คดี จึง มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ว่าอายุความ สิทธิเรียกร้อง ที่ โจทก์ มี ต่อ นาย สุรชัย เริ่ม นับ ตั้งแต่ เมื่อใด เห็นว่า บัญชีเดินสะพัด ที่นาย สุรชัย มี ต่อ โจทก์ เป็น บัญชี ที่ ไม่ได้ กำหนด ระยะเวลา ชำระหนี้ คืน ดังนั้น แม้ บัญชี จะ หยุด เดินสะพัด โดย ที่นาย สุรชัย มิได้ นำ เงิน เข้า ฝาก หรือ เบิกเงิน จาก โจทก์ อีก เลย จน ถึง วันฟ้อง คดี นับ เป็น เวลา เกิน 10 ปี แล้ว ก็ ตาม แต่เมื่อโจทก์ และ นาย สุรชัย ยัง ไม่ได้ ตกลง เลิกสัญญา บัญชีเดินสะพัด เพื่อ หัก ทอน บัญชี และ เรียกร้อง ให้ ชำระหนี้ ที่ มี อยู่ ต่อ กัน สัญญาบัญชีเดินสะพัด ระหว่าง โจทก์ กับ นาย สุรชัย ก็ ยัง คง มี อยู่ ตลอด ไป หา ได้ ยกเลิก หรือ สิ้นสุด ลง ไม่ สัญญา บัญชีเดินสะพัด ที่ มิได้ กำหนดเวลา ชำระหนี้ คืน จะ สิ้นสุด ลง ก็ ต่อเมื่อ คู่สัญญา ตกลง เลิกสัญญาต่อ กัน หรือ เมื่อ ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง เรียกร้อง ให้ หัก ทอน บัญชี และ ใช้ชำระหนี้ ที่ มี ต่อ กัน เสีย แล้ว เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงของ คดี นี้ ฟังได้ ว่า โจทก์ เพิ่ง บอกเลิก สัญญา บัญชีเดินสะพัด ส่ง ไปถึง นาย สุรชัย เมื่อ วันที่ 30 เมษายน 2534 และ เรียกร้อง ให้ นาย สุรชัย ชำระหนี้ ที่ ค้างชำระ แก่ โจทก์ ภายใน 15 วัน นับ จาก วันที่ ได้รับ หนังสือ ทวงถาม ย่อม ถือได้ว่า สัญญา บัญชีเดินสะพัด ระหว่าง โจทก์กับ นาย สุรชัย เลิก และ หัก ทอน บัญชี กัน เมื่อ วันที่ 30 เมษายน 2534นี้ เอง อายุความ แห่ง สิทธิเรียกร้อง ที่ โจทก์ มี ต่อ นาย สุรชัย เริ่ม นับ ตั้งแต่ วันที่ พ้น กำหนด เวลา ชำระหนี้ ที่ โจทก์ ผ่อนผัน ให้ แก่นาย สุรชัย คือ เริ่ม นับ ตั้งแต่ วันที่ 16 พฤษภาคม 2534 เป็นต้น ไป ด้วย เหตุ นี้ การ ที่ โจทก์ ฟ้องคดี เมื่อ วันที่ 4 ธันวาคม 2535จึง ยัง ไม่เกิน 10 ปี สิทธิเรียกร้อง ที่ โจทก์ มี ต่อ นาย สุรชัย จึง ยัง ไม่ขาดอายุความ โจทก์ ชอบ ที่ จะ ฟ้อง จำเลย ทั้ง สอง ผู้เป็น ทายาทของ นาย สุรชัย ให้ รับผิด ต่อ โจทก์ ได้ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษา ว่า คดี โจทก์ ขาดอายุความ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30เพราะ โจทก์ ฟ้องคดี เกิน 10 ปี นับ จาก วันที่ โจทก์ ปิด บัญชี ของนาย สุรชัย คือ นับ จาก วันที่ 30 พฤศจิกายน 2524 หรือ อย่างช้า ไม่เกิน 6 เดือน ถัด มา นั้น ไม่ต้อง ด้วย ความเห็น ของ ศาลฎีกา ฎีกาของ โจทก์ ข้อ นี้ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษากลับ ให้ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ชำระ เงินต้น จำนวน46,731.49 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ค้างชำระ อีก จำนวน 87,334.87 บาทรวมเป็น เงิน 134,066.31 บาท และ ให้ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ชำระดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ 19 ต่อ ปี ของ ต้นเงิน จำนวน 46,731.49 บาทนับ ถัด จาก วันฟ้อง ไป จนกว่า จะ ชำระ เสร็จ แก่ โจทก์