คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3315/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาที่ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดโดยสุจริตหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์รู้อยู่ก่อนแล้วหรือไม่ว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยเห็นจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทอยู่เมื่อจำเลยนำเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกโฉนดโจทก์ก็ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตโดยไม่โต้แย้งนอกจากนี้บิดาโจทก์ยังมีที่นาอยู่ติดกับที่ดินพิพาทโจทก์เคยมาช่วยบิดาทำนาถึง4ปีย่อมเห็นจำเลยครอบครองทำนาในที่ดินพิพาทนี้ตลอดมาพฤติการณ์ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า โจทก์ เป็น เจ้าของ กรรมสิทธิ์ ที่ดิน โฉนด เลขที่ 8846โดย ซื้อ มา โดยสุจริต และ ได้ จดทะเบียน สิทธิ ต่อ พนักงาน เจ้าหน้าที่โดยสุจริต แล้ว โจทก์ ได้ ให้ ผู้อื่น เช่า ทำนา ใน ที่ดิน โดย ทาง ทิศเหนือให้ นาย ชั้น กับพวก เช่า ทาง ทิศใต้ ให้ นาย เสนาะ เช่า ต่อมา เดือน มกราคม 2532 จำเลย อ้างว่า ที่ดิน ของ โจทก์ ทาง ทิศใต้ เป็น ของ จำเลยและ ห้าม มิให้ นาย เสนาะ เข้า เกี่ยวข้อง เป็นเหตุ ให้ นาย เสนาะ มา แจ้ง ยกเลิก การ เช่า กับ โจทก์ แล้ว จำเลย ได้ บุกรุก เข้า ไป ทำนาใน ที่ดิน ของ โจทก์ ทาง ทิศใต้ คิด เป็น เนื้อที่ ประมาณ 8 ไร่ ทำให้ โจทก์ขาด ผลประโยชน์ ที่ เคย ได้รับ ซึ่ง หาก โจทก์ นำ ที่ดิน ส่วน นี้ ไป ให้บุคคลอื่น เช่า จะ ได้ ค่าเช่า เป็น ข้าวเปลือก ไร่ ละ 10 ถัง คิด ราคา ถัง ละ40 บาท เป็น เงิน ไร่ ละ 400 บาท โจทก์ บอกกล่าว ให้ จำเลย หยุด ทำนาใน ที่ดิน ของ โจทก์ แล้ว แต่ จำเลย เพิกเฉย ขอให้ ศาล พิพากษา ว่า ที่ดินหมาย เส้น สีแดง ใน แผนที่ สังเขป ท้ายฟ้อง เป็น ที่ดิน อยู่ ใน ที่ดินโฉนด เลขที่ 8846 เป็น กรรมสิทธิ์ ของ โจทก์ ห้าม จำเลย เข้า มา ยุ่ง เกี่ยวและ ให้ จำเลย ชดใช้ ค่าเสียหาย ที่ โจทก์ ไม่ได้ รับ ผลประโยชน์ ใน ที่ดินที่ จำเลย รุกล้ำ
จำเลย ให้การ และ ฟ้องแย้ง ว่า จำเลย ครอบครอง ที่ดินพิพาท ซึ่ง เป็นที่ดิน เฉพาะ ส่วน ทาง ทิศใต้ ของ ที่ดิน โฉนด เลขที่ 8846 ซึ่ง เป็น ของนาย เบี้ยว มา ตั้งแต่ เมื่อ ประมาณ 45 ปี มา แล้ว ต่อมา ปี 2498 จำเลย ได้ แจ้ง การ ครอบครอง ที่ดิน และ ทางราชการ ได้ ออก หลักฐาน ให้ เป็น แบบ แจ้งการ ครอบครอง (ส.ค.1 ) จำเลย ครอบครอง ที่ดินพิพาท โดย สงบ เปิดเผยและ ด้วย เจตนา เป็น เจ้าของ ตลอดมา จน กระทั่ง ปี 2503 ทางราชการ ได้ ออกน.ส. 3 ให้ จำเลย โจทก์ ซื้อ และ จดทะเบียน สิทธิ ใน ที่ดิน โดย ไม่สุจริตเพราะ ก่อน หรือ ใน ขณะที่ ซื้อ และ จดทะเบียน โจทก์ ทราบ ว่า จำเลย ครอบครองที่ดินพิพาท อยู่ จึง ขอให้ ยกฟ้อง และ พิพากษา ว่า ที่ดินพิพาท ซึ่ง เป็นที่ดิน ส่วน หนึ่ง ของ ที่ดิน โฉนด เลขที่ 8846 เนื้อที่ 8 ไร่ 82 ตารางวาเป็น กรรมสิทธิ์ ของ จำเลย โดย การ ครอบครองปรปักษ์ ห้าม โจทก์ เข้าเกี่ยวข้อง และ ให้ โจทก์ ไป ทำการ โอน ที่ดิน ส่วน ที่ จำเลย ได้ กรรมสิทธิ์โดย การ ครอบครอง ให้ แก่ จำเลย มิฉะนั้น ขอ ถือเอา คำพิพากษา ของศาล แทน การแสดง เจตนา ของ โจทก์
โจทก์ ให้การ แก้ฟ้อง แย้ง ว่า โจทก์ ซื้อ ที่ดิน ตาม ที่ ระบุ ไว้ใน โฉนด จาก เจ้าของ เดิม โดยสุจริต จำเลย ครอบครอง ที่ดินพิพาท ไม่ถึง10 ปี และ ไม่ได้ ครอบครอง อย่าง เป็น เจ้าของ ขอให้ ยกฟ้อง แย้ง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว วินิจฉัย ว่า ที่ดินพิพาท จำเลย ครอบครองจน ได้ กรรมสิทธิ์ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วแต่ ยัง ไม่ได้ จดทะเบียน การ ได้ มา จึง ไม่อาจ ยกขึ้น ต่อสู้ โจทก์ผู้ ได้ กรรมสิทธิ์ มา โดย เสีย ค่าตอบแทน และ สุจริต และ ได้ จดทะเบียน สิทธิโดยสุจริต แล้ว ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองพิพากษา ว่า ที่ดิน ภายใน เส้น สีแดง ใน แผนที่ พิพาท เอกสาร หมาย จ. 6ซึ่ง ให้ ถือ เป็น ส่วน หนึ่ง ของ คำพิพากษา นี้ เป็น ที่ดิน ใน โฉนด เลขที่ 8846ของ โจทก์ ห้าม จำเลย เข้า เกี่ยวข้อง กับ ที่ดิน ดังกล่าว และ ให้ จำเลยชดใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ เป็น ว่า จำเลย ได้ กรรมสิทธิ์ โดย การครอบครอง ที่ดิน โฉนด เลขที่ 8846 เฉพาะ ส่วน ที่ จำเลย ครอบครอง อยู่ภายใน เส้น สี เขียว ใน แผนที่ พิพาท หมาย ล. 6 ห้าม โจทก์ เข้า เกี่ยวข้อง
โจทก์ ฎีกา โดย ผู้พิพากษา ที่ ได้ นั่งพิจารณา คดี ใน ศาลชั้นต้นรับรอง ว่า มีเหตุ สมควร ที่ จะ ฎีกา ใน ข้อเท็จจริง ได้
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ข้อเท็จจริง ฟัง ยุติ ตาม คำพิพากษาศาลล่าง ทั้ง สอง ว่า จำเลย ครอบครอง ที่ดินพิพาท จน ได้ กรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว มี ปัญหา วินิจฉัยตาม ฎีกา ว่า โจทก์ ซื้อ ที่ดินพิพาท โดยสุจริต หรือไม่ ปัญหา ที่ ว่าโจทก์ ซื้อ ที่ดินพิพาท โดยสุจริต หรือไม่ ขึ้น อยู่ กับ ข้อเท็จจริงที่ ว่า โจทก์ รู้ อยู่ ก่อน แล้ว หรือไม่ ว่า จำเลย เป็น ผู้ครอบครองที่ดินพิพาท เห็นว่า โจทก์ ซื้อ ที่ดิน โฉนด เลขที่ 8846 ส่วน ของนาย เจริญกับนางสาวสุวรรณา เมื่อ วันที่ 27 มีนาคม 2529 โจทก์ ก็ เห็น จำเลย ครอบครอง ที่ดินพิพาท อยู่ ตาม เดิม และ ใน ปีเดียว กัน นั้นเองจำเลย ได้ นำ เจ้าพนักงาน ที่ดิน ไป รังวัด ที่ดินพิพาท เพื่อ ออก โฉนดตาม ใบ ไต่สวน โจทก์ ก็ ลงลายมือชื่อ รับรอง แนวเขต โดย ไม่โต้แย้ง นอกจาก นี้โจทก์ ยัง ช่วย บิดา ทำนา ใน ระหว่าง เรียน หนังสือ เมื่อ เรียน จบ แล้วก็ ยัง ช่วย บิดา ทำนา อีก 4 ปี โจทก์ ย่อม จะ ได้ เห็น จำเลย ทำนา ในที่ดินพิพาท น่าเชื่อ ว่า โจทก์ รู้ ว่า จำเลย ครอบครอง ที่พิพาท มา เป็นเวลา ประมาณ 20 ปี แล้ว และ ก่อน ซื้อ ที่ดิน โฉนด เลขที่ 8846 โจทก์ รู้อยู่ ก่อน แล้ว ว่า ที่ดินพิพาท จำเลย เป็น ผู้ครอบครอง ทำประโยชน์ ดังนั้นจึง ถือไม่ได้ว่า โจทก์ ซื้อ ที่ดินพิพาท โดยสุจริต และ จดทะเบียน สิทธิโดยสุจริต ตาม นัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสองศาลอุทธรณ์ พิพากษา ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share