แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้คดีก่อนและคดีนี้จะมีประเด็นข้อพิพาทเป็นอย่างเดียวกันว่าที่ดินพิพาททั้งสองคดีเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลยร่วมซึ่งมีเนื้อที่2,172ไร่หรือไม่แต่เมื่อที่ดินพิพาทเป็นคนละแปลงกันซึ่งคำฟ้องของโจทก์ในคดีก่อนซึ่งเป็นจำเลยคดีนี้มิได้กล่าวหรือขอให้ศาลพิพากษาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้ทั้งคดีนี้ยังมีข้อหาละเมิดซึ่งในคดีก่อนไม่มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงต่างกันส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยร่วมเป็นเจ้าของที่ดินจำนวน2,172ไร่หรือไม่ก็เป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากันมาแล้วจนถึงที่สุดจะนำมาใช้ในคดีนี้ให้มีผลผูกพันกันได้หรือไม่อีกประเด็นหนึ่งคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ มี คำสั่ง ว่า ที่ดิน ตาม แบบ แจ้ง การ ครอบครอง (ส.ค.1 )เลขที่ 109 และ เลขที่ 136 หมู่ ที่ 8 ตำบล นครสวรรค์ตก อำเภอ เมือง นครสวรรค์ จังหวัด นครสวรรค์ เป็น ของ โจทก์ ห้าม จำเลย เกี่ยวข้องและ ห้าม จำหน่าย จ่าย โอน หรือ นำ ไป ให้ ผู้อื่น ใช้สอย และ ให้ จำเลย ใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็น เงิน 200,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ร้อยละ เจ็ด ครึ่งต่อ ปี นับแต่ วันฟ้อง จนกว่า จะ ชำระ เงิน เสร็จ แก่ โจทก์
จำเลย ให้การ ว่า ที่ดิน สอง แปลง ตาม ฟ้อง เป็น กรรมสิทธิ์ ของ จำเลยฟ้องโจทก์ เป็น ฟ้องซ้ำ กับ คดีแพ่ง หมายเลขแดง ที่ 581/2520 ของศาลชั้นต้น เพราะ ศาลฎีกา พิพากษา แล้ว ว่า ที่ดินพิพาท ใน คดีแพ่งดังกล่าว เป็น ของ จำเลย คดี นี้ ที่ดินพิพาท คดี นี้ เป็น ส่วน หนึ่ง ของที่ดิน 2,172 ไร่ คำพิพากษา ใน คดีแพ่ง ดังกล่าว ผูกพัน โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่าง พิจารณา กระทรวงการคลัง ยื่น คำร้องขอ เข้า เป็น จำเลยร่วมศาลชั้นต้น มี คำสั่ง อนุญาต
จำเลยร่วม ให้การ ว่า จำเลยร่วม เป็น ผู้ถือกรรมสิทธิ์ ใน ที่ดินราชพัสดุ ตาม พระราชบัญญัติ ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 มีอำนาจ หน้าที่ ดูแลรักษา ใช้ จัดการ หา ประโยชน์ เกี่ยวกับ ที่ราชพัสดุ และ เป็น เจ้าของกรรมสิทธิ์ ที่ดิน ตาม แบบ แจ้ง การ ครอบครอง (ส.ค.1 )เลขที่ 109และ เลขที่ 136 หมู่ ที่ 8 ตำบล นครสวรรค์ตก อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัด นครสวรรค์ เนื้อที่ 20 ไร่ 40 ตารางวา และ 28 ไร่ ตาม ที่โจทก์ ฟ้อง จำเลย ยัง ยึดถือ ครอบครอง ทำประโยชน์ ใน ที่ดิน ดังกล่าวทั้งหมด ตลอดมา จน ถึง ปัจจุบัน ที่ดิน ดังกล่าว จึง เป็น สาธารณสมบัติ ของแผ่นดิน จำเลยร่วม เป็น เจ้าของ กรรมสิทธิ์ ตาม พระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2518 จำเลยร่วม ได้ จดทะเบียน เป็น ที่ราชพัสดุทะเบียน เลขที่ นว.70 แล้ว โดย จำเลย เป็น ผู้ครอบครอง ดูแล รักษาแม้ โจทก์ จะ ได้รับ โอนสิทธิ ครอบครอง มาจาก ผู้อื่น ก็ ใช้ ยัน ต่อ จำเลยร่วมและ จำเลย ไม่ได้ เพราะ เป็น ที่ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ ก็ ไม่อาจได้ กรรมสิทธิ์ หรือ สิทธิ ครอบครอง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “คดี มี ปัญหาข้อกฎหมาย ที่ จะ ต้อง วินิจฉัย ตามฎีกา ของ โจทก์ ว่า ฟ้อง ของ โจทก์ เป็น ฟ้องซ้ำ กับ คดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 581/2520 ของ ศาลชั้นต้น หรือไม่ ข้อเท็จจริง ฟัง เป็น ยุติ ว่า คดีก่อน จำเลย ฟ้องโจทก์ ขอให้ เพิกถอน หนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส. 3) เล่ม ที่ 2 หน้า 120 สารบบ หมู่ ที่ 8 ตำบล นครสวรรค์ตก อำเภอ เมือง นครสวรรค์ จังหวัด นครสวรรค์ เนื้อที่ 30 ไร่ 55 ตารางวาและ ให้ ขับไล่ โจทก์ และ บริวาร ออก ไป ไม่ให้ เกี่ยวข้อง ที่ดินพิพาท โดยจำเลย อ้างว่า ที่ดินพิพาท ดังกล่าว เป็น ส่วน หนึ่ง ของ ที่ดิน ของ จำเลยร่วมมี เนื้อที่ 2,172 ไร่ ซึ่ง จำเลย ครอบครอง โจทก์ ใน คดี นี้ หรือ เป็นจำเลย ใน คดี ก่อน ให้การ ว่า ที่ดินพิพาท เป็น ของ ตน คดี ขึ้น ไป สู่ ศาลฎีกาศาลฎีกา พิจารณา แล้ว วินิจฉัย ว่า ที่ดินพิพาท เป็น ส่วน หนึ่ง ของ ที่ดินจำนวน 2,172 ไร่ ซึ่ง จำเลย ครอบครอง เป็น ทรัพย์สิน ที่ ใช้ เพื่อประโยชน์ ของ แผ่นดิน โดยเฉพาะ อันเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(3) พิพากษา ให้ ขับไล่โจทก์ และ บริวาร ออก ไป ห้าม ไม่ให้ เกี่ยวข้อง ปรากฏ ตาม คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2173/2523 เอกสาร หมาย ป.ล. 4 (ของ ศาลแพ่ง ) ต่อมาโจทก์ ได้ มา ฟ้อง เป็น คดี นี้ 2 ข้อหา ใน คดี เดียว กัน ข้อหา แรก โจทก์ อ้างว่า โจทก์ มีสิทธิ ครอบครอง ที่ดิน ตาม หนังสือ แบบ แจ้ง การ ครอบครอง (ส.ค.1 )จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ ติดต่อ กัน แปลง แรก ส.ค.1 เลขที่ 109เนื้อที่ 20 ไร่ 40 ตารางวา ราคา 30,000 บาท แปลง ที่ 2 ส.ค.1เลขที่ 136 เนื้อที่ 28 ไร่ ราคา 48,000 บาท ซึ่ง อยู่ หมู่ ที่ 8ตำบล นครสวรรค์ตก อำเภอ เมือง นครสวรรค์ จังหวัด นครสวรรค์ ต่อมา วันที่ 14 พฤศจิกายน 2527 โจทก์ ทราบ ว่า จำเลย ได้ ยก ที่ดิน2 แปลง ดังกล่าว ของ โจทก์ ให้ กระทรวงยุติธรรม เป็น การ ละเมิด สิทธิของ โจทก์ ห้าม จำเลย เกี่ยวข้อง ส่วน ข้อหา ที่ 2 โจทก์ อ้างว่า เมื่อศาลฎีกา พิพากษา แล้ว โจทก์ และ บริวาร ได้ ออก ไป จาก ที่พิพาท และ ไม่ได้เกี่ยวข้อง อีก ต่อไป แต่ จำเลย จงใจ กลั่นแกล้ง บังคับคดี จน ทำให้ โจทก์ถูกจับ และ ควบคุม อยู่ 3 ชั่วโมง ทำให้ โจทก์ เสียหาย ต่อ ชื่อเสียง โจทก์ขอ คิด ค่าเสียหาย ใน ส่วน นี้ 200,000 บาท พร้อม ดอกเบี้ย ระหว่างพิจารณา ของ ศาลชั้นต้น กระทรวงการคลัง ได้ ยื่น คำร้องขอ เข้า เป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้น อนุญาต โดย จำเลยร่วม อ้างว่า จำเลยร่วม มีอำนาจหน้าที่ ดูแล รักษา ใช้ จัดหา ประโยชน์ ที่ราชพัสดุ ตาม กฎหมาย ที่ดิน จำนวน2,172 ไร่ เป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็น ที่ราชพัสดุ ได้ ให้จำเลย ปกครอง ดูแล และ ใช้ ประโยชน์ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิจารณา แล้ววินิจฉัย ว่า ฟ้องโจทก์ คดี นี้ ฟ้องซ้ำ กับ คดี ก่อน จึง เป็น ฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 พิพากษายกฟ้อง โดย มิได้ วินิจฉัย ใน ประเด็น เรื่อง อื่น ปัญหา เรื่อง ฟ้องซ้ำ นั้นเห็นว่า แม้ คดี ก่อน และ คดี นี้ จะ มี ประเด็น ข้อพิพาท เป็น อย่างเดียว กันว่า ที่ดินพิพาท ทั้ง สอง คดี เป็น ส่วน หนึ่ง ของ ที่ดิน ของ จำเลยร่วม ซึ่ง มีเนื้อที่ 2,172 ไร่ หรือไม่ แต่ คำฟ้อง ใน คดี ก่อน มิได้ กล่าว หรือขอให้ ศาล พิพากษา เกี่ยวกับ ที่ดินพิพาท ใน คดี นี้ เพราะ เป็น ที่ดิน คน ละแปลง กัน ทั้ง ฟ้อง ของ โจทก์ ใน คดี นี้ ยัง มี ข้อหา ละเมิด อีก ข้อหา หนึ่งซึ่ง ใน คดี ก่อน ไม่มี จึง มี ประเด็น ที่ จะ ต้อง วินิจฉัย ต่างกัน จะ ซ้ำ กันก็ เฉพาะ ประเด็น ที่ ว่า จำเลยร่วม เป็น เจ้าของ ที่ดิน จำนวน 2,172 ไร่ซึ่ง เป็น ทรัพย์สิน ที่ ใช้ เพื่อ ประโยชน์ ของ แผ่นดิน โดยเฉพาะ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือไม่ เท่านั้น ซึ่ง มิใช่ เป็น เรื่อง ฟ้องซ้ำแต่ หาก เป็น ข้อเท็จจริง ใน คดี ก่อน ซึ่ง ได้ว่า กัน มา แล้ว จน ถึงที่สุด ในชั้นฎีกา จะ นำ มา ใช้ ใน คดี นี้ ให้ มีผล ผูกพัน กัน ได้ หรือไม่ สรุป แล้วศาลฎีกา เห็นว่า ประเด็น แห่ง คดี ก่อน ศาล วินิจฉัยชี้ขาด เฉพาะ ที่ดินพิพาท ของ โจทก์ ว่า อยู่ ใน ที่ดิน ของ จำเลยร่วม ส่วน ประเด็น แห่ง คดี หลังเป็น เรื่อง ที่ดิน คน ละ แปลง กับ คดี แรก และ ยัง มี เรื่อง ละเมิด กับค่าเสียหาย จึง เป็น คน ละ เรื่อง คน ละ ประเด็น กัน ไม่ใช่ เรื่อง ในประเด็น ที่ ศาล ได้ วินิจฉัย โดย อาศัย เหตุ อย่างเดียว กัน ที่ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ว่า ฟ้องคดี นี้ เป็น ฟ้องซ้ำ กับ คดี แรก นั้น ศาลฎีกาไม่เห็น พ้อง ด้วย เนื่องจาก ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ยัง มิได้ วินิจฉัยปัญหา ที่ ว่า จะ นำ ข้อเท็จจริง ใน คดี ก่อน ที่ ว่า จำเลยร่วม เป็นเจ้าของ ที่ดิน จำนวน 2,172 ไร่ หรือ เป็น ทรัพย์สิน ที่ ใช้ เพื่อ ประโยชน์ของ แผ่นดิน โดยเฉพาะ อันเป็น สาธารณสมบัติของแผ่นดิน มา ใช้ ใน คดีให้ ผล ผูกพัน กัน ได้ หรือไม่ และ ประเด็น เรื่อง ละเมิด กับ ค่าเสียหาย จึงให้ ย้อนสำนวน ให้ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิจารณา ปัญหา ดังกล่าว ”
พิพากษายก คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ให้ ศาลอุทธรณ์ ภาค 2วินิจฉัย แล้ว พิพากษา ใหม่ ตาม รูปคดี