คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2896/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทที่เช่าและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยให้การว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้ม.ไปแล้วโจทก์หลอกลวงให้ม.กับจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าโดยไม่บรรยายว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยกรณีจึงมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหากแต่เป็นของบุคคลอื่นโจทก์จำเลยจึงมิได้พิพาทกันในกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าที่ดินพิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ4,000บาทศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของม.ภรรยาจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์อุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จำเลยกับภรรยาครอบครองยังไม่ครบ10ปีแม้จะครอบครองเกินกว่า10ปีก็ครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์โจทก์มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนด จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทเพื่อทำนา ระหว่างเช่าจำเลยได้ปลูกบ้านขึ้นบนที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยเลิกทำนาแล้ว โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยรื้อถอนบ้านและโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยขอผัดผ่อนเรื่อยมา ที่ดินพิพาทนี้หากให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอน ให้โจทก์รื้อได้เองโดยให้จำเลยเป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนหรือขนย้ายเสร็จ
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทนั้นโจทก์ขายให้นางเม่ามะโนสา ภริยาจำเลยตั้งแต่ปี 2524 โดยขณะทำสัญญาขายให้นางเม่านั้น ที่ดินพิพาทยังไม่ได้แบ่งแยกเพื่อออกโฉนดโจทก์ตกลงว่าจะโอนที่ดินพิพาทให้นางเม่าเมื่อแบ่งแยกโฉนดแล้ว หลังจากนางเม่าได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ ได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบันโดยสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้ว นางเม่าจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทปี 2526 โจทก์ได้หลอกลวงให้นางเม่าและจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่า การนำคดีมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ที่ดินพิพาท นั้นให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 50 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทที่เช่าและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ตามสำเนาสัญญาเช่าเอกสารท้ายฟ้อง จำเลยให้การว่า โจทก์ขายที่ดินพิพาทให้นางเม่า นะโนสา ไปแล้ว โจทก์หลอกลวงให้นางเม่ากับจำเลยลงชื่อในสัญญาเช่าโดยไม่บรรยายว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วย กรณีจึงมิได้ต่อสู้กรรมสิทธิ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยหากแต่เป็นของบุคคลอื่นโจทก์จำเลยจึงมิได้พิพาทกันในกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แต่เป็นคดีฟ้องขับไล่ เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทในขณะยื่นคำฟ้องมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 4,000 บาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนางเม่าภรรยาจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยกับภรรยาครอบครองยังไม่ครบ 10 ปี แม้จะครอบครองเกินกว่า 10 ปี ก็ครอบครองโดยอาศัยสิทธิของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องจึงถือเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
พิพากษายืน

Share