คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9374/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ก่อนที่โจทก์จะรับโอนที่ดินโฉนดพิพาทมาจากมารดาแม้โจทก์เคยใช้ถนนพิพาทมาก่อนก็เป็นการใช้โดยอาศัยอำนาจของเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมการใช้ถนนพิพาทดังกล่าวหาก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์แต่อย่างใดไม่ดังนั้นที่คู่ความนำสืบโต้เถียงกันว่าถนนพิพาทมีมาแต่เดิมหรือไม่จึงหาใช่ข้อสาระสำคัญแต่อย่างใดไม่แต่ภายหลังที่จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดพิพาทจากมารดาซึ่งมีถนนพิพาทผ่านแล้วตามฟ้องและทางนำสืบโจทก์อ้างว่าโจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยอาศัยข้อตกลงยินยอมของจำเลยให้ใช้ได้ตลอดไปโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใดแม้จำเลยจะมิได้นำสืบปฏิเสธในข้อนี้เพียงแต่ตั้งเงื่อนไขว่าต้องไม่เป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญให้แก่จำเลยและครอบครัวเท่านั้นอย่างไรก็ดีลำพังข้อตกลงยินยอมของจำเลยดังกล่าวเป็นเพียงให้สิทธิแก่โจทก์ใช้ถนนพิพาทได้โดยไม่เป็นการละเมิดเท่านั้นโจทก์ไม่มีสิทธิยกเอาความยินยอมนั้นผูกพันจำเลยตลอดไปจำเลยอาจยกเลิกไม่ให้ใช้ถนนพิพาทเสียเมื่อไรก็ได้การที่ต่อมาจำเลยทำประตูเหล็กใส่กุญแจปิดประกาศกำหนดเวลาผ่านเข้าออกและทำโครงไม้คร่อมถนนพิพาทดังกล่าวซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทให้พอสมควรแก่ความจำเป็นเช่นที่เคยผ่านมาอันมีผลเท่ากับจำเลยได้ยกเลิกข้อตกลงยินยอมให้ใช้ถนนพิพาทโดยปริยายข้อตกลงยินยอมของจำเลยที่ให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใดๆจึงสิ้นสุดลงแต่โดยที่ถนนพิพาทโดยสภาพยังเป็นทางจำเป็นอยู่เพราะที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ซึ่งตามฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาว่าที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยนั้นตกอยู่ในวงล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะคงมีถนนพิพาทเท่านั้นที่ผ่านที่ดินของจำเลยเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ซึ่งสะดวกมีระยะทางสั้นและเสียหายแก่ที่ดินของจำเลยน้อยที่สุดดังนั้นโจทก์จึงอาจใช้ถนนพิพาทได้ดังเดิมโดยอาศัยสิทธิดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าววรรคท้ายบัญญัติว่าผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้นโจทก์จึงต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349วรรคสามผู้ที่ใช้ทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นกับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ถ้าจำเป็นความจำเป็นของโจทก์คือให้มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยสะดวกการที่จำเลยทำถนนพิพาทเป็นถนนคอนกรีตทำรั้วคอนกรีตด้านที่ติดกับที่ดินบ้านโจทก์โดยเว้นช่องประตูเป็นทางเข้าออกกับทำประตูรั้วเหล็กด้านที่ติดริมซอยเหรียญทองแล้วโจทก์ก็ยังคงใช้ถนนพิพาทได้โดยสะดวกตลอดมาจนกระทั่งต่อมาจำเลยใส่กุญแจประตูรั้วเหล็กและทำโครงไม้คร่อมถนนพิพาทเป็นสาเหตุให้เกิดพิพาทกันเป็นคดีนี้จึงฟังไม่ได้ว่าการที่จำเลยทำกำแพงรั้วมีช่องประตูกว้างเพียง2.80เมตรกับการทำประตูรั้วเหล็กริมซอยเหรียญทองดังกล่าวทำให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทไม่ได้พอแก่ความจำเป็นกับทั้งได้คำนึงถึงในข้อที่ควรให้จำเลยได้รับความเสียหายน้อยที่สุดแล้วจึงไม่สมควรบังคับให้จำเลยรื้อประตูรั้วเหล็กและขยายช่องกำแพงรั้วดังกล่าวเพียงแต่จำเลยต้องไม่กระทำการใดอันเป็นการขัดขวางโจทก์และบริวารในการใช้ถนนพิพาทให้พอแก่ความจำเป็นเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 ตำบลสำโรงเหนืออำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ อยู่ติดต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 21979 ซึ่งเดิมเป็นของนางเหรียญ แพทย์ปรีชามารดาของโจทก์และจำเลยที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 อยู่ติดซอยเหรียญทองซึ่งเป็นทางสาธารณะ เมื่อปี 2502 นางเหรียญทำถนนกว้าง 3 เมตร ยาว 26.50 เมตร จากที่ดินโฉนดเลขที่ 21979ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 ออกสู่ซอยเหรียญทอง โจทก์ใช้ถนนนี้มากว่า 10 ปี ต่อมาในปี 2527 นางเหรียญจดทะเบียนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 ให้จำเลยและต่อมาในปี 2528 ก็จดทะเบียนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 21979 ให้โจทก์และจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันโจทก์ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินดังกล่าวส่วนจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 เนื่องจากที่ดินโฉนดเลขที่ 21979 ของโจทก์ตกอยู่ในวงล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ คงมีถนนซึ่งผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 ของจำเลยเท่านั้นที่สะดวก เป็นระยะทางสั้นและเสียหายแก่ที่ดินของจำเลยน้อยที่สุด โจทก์กับจำเลยจึงตกลงกันว่าจำเลยยอมให้โจทก์ใช้ถนนที่มีอยู่เดิมซึ่งเป็นถนนที่ผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ทางสาธารณะคือซอยเหรียญทอง ซึ่งไปออกถนนรถรางสายเก่าได้ตลอดไปไม่มีที่สิ้นสุดโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใด ๆ เพราะเป็นถนนอยู่แล้วและเป็นทางจำเป็นโจทก์ได้ใช้ถนนดังกล่าวเรื่อยมาจนเดือนเมษายน 2533 จำเลยสร้างรั้วคอนกรีตระหว่างที่ดินทั้งสองแปลง เว้นช่องตรงถนนพิพาทเพียง 2.80 เมตรแคบลงกว่าเดิม 20 เซนติเมตร ทำประตูรั้วเหล็กด้านที่ติดริมซอยเหรียญทอง ประกาศจำกัดเวลาการใช้ทางเข้าออก ทำโครงไม้คร่อมถนนพิพาทสูง 2 เมตร ยาว 10 เมตร เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถใช้ถนนพิพาทได้ดังเดิม ไม่อาจใช้รถบรรทุกที่สูงกว่า 2 เมตรผ่านโครงไม้ได้ ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนประตูรั้วเหล็กรื้อกำแพงรั้วให้ได้ความกว้าง 3 เมตร ห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์และบริวารใช้ถนนพิพาท ให้จำเลยรื้อโครงไม้ออก
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยยอมรับว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 ของจำเลยเป็นทางจำเป็นสำหรับโจทก์ จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยมีเงื่อนไขว่าโจทก์จะไม่ให้บริวารของโจทก์ก่อความรำคาญ เดือดร้อนแก่จำเลยและครอบครัว ต่อมาโจทก์ปล่อยให้สามีโจทก์ข่มขู่จำเลยและบริวาร แกล้งนำรถบรรทุกขนดินผ่านถนนพิพาทเข้าไปในบ้านโจทก์โดยไม่มีเหตุจำเป็น จำเลยต้องทำรั้วและประตูรั้วเหล็กเพื่อป้องกันทรัพย์สินในบ้าน ทำโครงไม้เพื่อปลูกไม้ประดับ และสำหรับกำแพงรั้วคอนกรีตด้านที่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 21979 นั้น จำเลยได้เปิดช่องทางเข้าออกให้โจทก์กว้างประมาณ 3 เมตรแล้ว จำเลยต้องจ้างคนมาเป็นยามรักษาความปลอดภัยและเปิดปิดประตูรั้วให้โจทก์และบริวารเดือนละ5,000 บาท โจทก์ต้องออกค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งเป็นเงินเดือนละ2,500 บาท และต้องออกค่าทดแทนการใช้ถนนพิพาทเดือนละ 2,500 บาทขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ชำระค่าทดแทนความเสียหายในการใช้ถนนเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะไม่ใช้ถนนพิพาท หากไม่ชำระห้ามใช้ถนนพิพาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเคลือบคลุม โจทก์ใช้ถนนพิพาทมานานแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทน จำเลยมิได้ยอมให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยมีเงื่อนไขว่า โจทก์จะไม่ให้บริวารของโจทก์ก่อความรำคาญเดือนร้อนแก่จำเลยและครอบครัว จำเลยไม่ได้จ้างยามมารักษาความปลอดภัยและเปิดปิดประตูรั้วเหล็กตามที่อ้างจำเลยไม่มีสิทธิปิดถนนพิพาท จึงไม่จำเป็นต้องจ้างยามไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์และบริวารในการใช้ถนนพิพาท ให้จำเลยรื้อโครงไม้ตามฟ้อง ให้โจทก์ชำระเงินค่าทดแทนการใช้ถนนพิพาทแก่จำเลยปีละ 2,500 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไป คำขอนอกจากนี้ของทั้งสองฝ่ายให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรื้อถอนประตูรั้วเหล็กและกำแพงรั้วด้านติดกับถนนพิพาทออกไปให้ถนนพิพาทได้ความกว้าง 3 เมตร ตามเดิม พิพากษายกฟ้องแย้ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำฟ้องคำให้การและที่คู่ความนำสืบรับกันว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่174786 และ 21979 ตำบลสำโรงเหนือ อำเภอเมืองสมุทรปราการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นของนางเหรียญ แพทย์ปรีชา มารดาของโจทก์และจำเลย ทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 จดซอยเหรียญทองซึ่งเป็นทางสาธารณะ ส่วนทิศใต้จดที่ดินโฉนดเลขที่ 21979 ต่อมาวันที่ 27 เมษายน 2527 นางเหรียญจดทะเบียนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 174786 ให้แก่จำเลย และวันที่ 12 มีนาคม2528 นางเหรียญจดทะเบียนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 21979 ให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย ต่อมาปี 2531 โจทก์และจำเลยต่างปลูกบ้านอยู่อาศัยบนที่ดินโฉนดเลขที่ 21979 และ 174786 ตามลำดับที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยดังกล่าว มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่ ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่มีถนนพิพาทกว้าง3 เมตร ยาว 26.5 เมตร เป็นทางเข้าออกจากที่ดินบ้านโจทก์ผ่านที่ดินบ้านจำเลยไปออกซอยเหรียญทองซึ่งเป็นทางสาธารณะได้ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2533 จำเลยทำถนนพิพาทเป็นถนนคอนกรีตและทำรั้วคอนกรีตบนที่ดินด้านที่ติดกับที่ดินบ้านโจทก์โดยเว้นช่องประตูทางเข้าออกไว้กับทำประตูรั้วเหล็กด้านติดซอยเหรียญทองและจำเลยยินยอมให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทเป็นทางเข้าออกสู้ทางสาธารณะโดยสะดวกตลอดมาโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใด ๆ จนกระทั่งเดือนเมษายน 2533 เป็นต้นมา จำเลยได้ปิดประตูรั้วเหล็กใส่กุญแจปิดประกาศกำหนดเวลาผ่านเข้าออก และทำโครงไม้คร่อมถนนพิพาทสูง 2 เมตร ยาว 10 เมตร
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในข้อแรกว่า โจทก์จะต้องใช้ค่าทดแทนในการใช้ถนนพิพาทแก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ก่อนที่โจทก์จะรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 21979 มาจากนางเหรียญมารดาแม้โจทก์จะนำสืบว่าเคยใช้ถนนพิพาทมาก่อน ก็เป็นการใช้โดยอาศัยอำนาจของเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิม การใช้ถนนพิพาทดังกล่าวหาก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์แต่อย่างใดไม่ ดังนั้นที่คู่ความนำสืบโต้เถียงกันว่าถนนพิพาทมีมาแต่เดิมหรือไม่ จึงหาใช่ข้อสาระสำคัญแต่อย่างใดไม่ แต่ภายหลังที่จำเลยรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 174786จากนางเหรียญมารดาซึ่งมีถนนพิพาทผ่านแล้วตามฟ้องและทางนำสืบโจทก์อ้างว่า โจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยอาศัยข้อตกลงยินยอมของจำเลยให้ใช้ได้ตลอดไปโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใด ๆ แม้จำเลยจะมิได้นำสืบปฏิเสธในข้อนี้ เพียงแต่ตั้งเงื่อนไขว่าต้องไม่เป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญให้แก่จำเลยและครอบครัวเท่านั้นอย่างไรก็ดีลำพังข้อตกลงยินยอมของจำเลยดังกล่าว เป็นเพียงให้สิทธิแก่โจทก์ใช้ถนนพิพาทได้โดยไม่เป็นการละเมิดเท่านั้นโจทก์ไม่มีสิทธิยกเอาความยินยอมนั้นผูกพันจำเลยตลอดไป จำเลยอาจยกเลิกไม่ใช้ถนนพิพาทเสียเมื่อไรก็ได้ การที่ต่อมาจำเลยทำประตูเหล็กใส่กุญแจ ปิดประกาศกำหนดเวลาผ่านเข้าออกและทำโครงไม้คร่อมถนนพิพาทดังกล่าว ซึ่งเป็นอุปสรรคขัดขวางมิให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทให้พอควรแก่ความจำเป็นเช่นที่เคยผ่านมาอันมีผลเท่ากับจำเลยได้ยกเลิกข้อตกลงยินยอมให้ใช้ถนนพิพาทโดยปริยาย ข้อตกลงยินยอมของจำเลยที่ให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใด ๆ จึงสิ้นสุดลง แต่โดยที่ถนนพิพาทโดยสภาพยังเป็นทางจำเป็นอยู่ เพราะที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ ซึ่งตามฟ้องโจทก์ก็ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาว่า ที่ดินที่โจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยนั้นตกอยู่ในวงล้อม ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ คงมีถนนพิพาทเท่านั้นที่ผ่านที่ดินของจำเลยเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะได้ซึ่งสะดวกมีระยะทางสั้นและเสียหายแก่ที่ดินของจำเลยน้อยที่สุด ดังนั้นโจทก์จึงอาจใช้ถนนพิพาทได้ดังเดิมโดยอาศัยสิทธิดังที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 1349 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าววรรคท้ายบัญญัติว่า ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่านนั้น โจทก์จึงต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลย
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อประตูรั้วเหล็กและช่องกำแพงรั้วด้านติดกับที่ดินบ้านโจทก์ให้ได้ความกว้าง 3 เมตร ได้หรือไม่ เห็นว่าตามบทบัญญัติมาตรา 1349 วรรคสาม ดังกล่าว ผู้ที่ใช้ทางผ่านต้องเลือกให้พอควรแก่ความจำเป็นกับทั้งให้คำนึงถึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายแต่น้อยที่สุดที่จะเป็นได้ถ้าจำเป็นความจำเป็นของโจทก์คือให้มีทางออกสู่ทางสาธารณะโดยสะดวก เมื่อตามฟ้องและทางนำสืบโจทก์ยอมรับว่า การที่จำเลยทำถนนพิพาทเป็นถนนคอนกรีต ทำรั้วคอนกรีตด้านที่ติดกับที่ดินบ้านโจทก์โดยเว้นช่องประตูเป็นทางเข้าออกกับทำประตูรั้วเหล็กด้านที่ติดริมซอยเหรียญทองแล้ว โจทก์ก็ยังคงใช้ถนนพิพาทได้โดยสะดวกตลอดมา จนกระทั่งต่อมาจำเลยใส่กุญแจประตูรั้วเหล็กและทำโครงไม้คร่อมถนนพิพาทเป็นสาเหตุให้เกิดพิพาทกันเป็นคดีนี้ จึงฟังไม่ได้ว่า การที่จำเลยทำกำแพงรั้วมีช่องประตูกว้างเพียง 2.80 เมตรกับการทำประตูรั้วเหล็กริมซอยเหรียญทองดังกล่าวทำให้โจทก์ใช้ถนนพิพาทไม่ได้พอแก่ความจำเป็น กับทั้งได้คำนึงถึงในข้อที่ควรให้จำเลยได้รับความเสียหายน้อยที่สุดแล้ว จึงไม่สมควรบังคับให้จำเลยรื้อประตูรั้วเหล็กและขยายช่องกำแพงรั้วดังกล่าวเพียงแต่จำเลยต้องไม่กระทำการใดอันเป็นการขัดขวางโจทก์และบริวารในการใช้ถนนพิพาทให้พอแก่ความจำเป็นเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share