คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือการใช้สิทธิฟ้องหรือต่อสู้คดีทางศาลรวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งไม่เป็นการทำละเมิด โจทก์บรรยายฟ้องอ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วและโจทก์ขอให้มีการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดและเพิกถอนการบังคับคดีตลอดจนอุทธรณ์คำสั่งศาลในกรณีดังกล่าวการกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ส่วนที่กรณีดังกล่าวทำให้การบังคับคดีต้องล่าช้าออกไปก็เป็นความจำเป็นซึ่งจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามที่กฎหมายบังคับไว้โจทก์จะอ้างเอาเป็นเหตุเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยทั้งสองต่อมาศาลได้ออกหมายบังคับคดียึดบ้านและที่ดินของจำเลยทั้งสอง ในระหว่างการดำเนินการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดดังกล่าวจำเลยทั้งสองได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองซึ่งร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีและขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดต่อศาลอุทธรณ์อันเป็นเหตุให้ศาลมีคำสั่งให้รอการขายทอดตลาดเพื่อรอคำสั่งศาลอุทธรณ์ ยังผลให้โจทก์ไม่อาจได้รับชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาที่ยังค้างชำระอยู่จำนวน4,800,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้เงินจำนวน 748,010 บาท 95 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงิน 4,800,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การว่า จำเลยทั้งสองใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์เป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต ไม่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องและคำให้การจำเลยทั้งสองแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำฟ้องของโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองทำละเมิดต่อโจทก์โดยการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองเพื่อให้ศาลมีคำสั่งรอการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดทั้ง ๆที่จำเลยทั้งสองไม่มีทางชนะคดี เพราะตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยชัดแจ้งนั้นเห็นว่า การปฏิบัติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือการใช้สิทธิฟ้องหรือต่อสู้คดีทางศาลรวมทั้งการอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายหาใช่การทำละเมิดไม่กรณีของโจทก์เป็นเรื่องที่อ้างว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วและโจทก์ขอให้มีการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดและเพิกถอนการบังคับคดีตลอดจนอุทธรณ์คำสั่งศาลในกรณีดังกล่าวย่อมเป็นการใช้สิทธิตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติไว้ ทั้งโจทก์ก็มิได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงอื่นใดที่แสดงว่าจำเลยทั้งสองใช้สิทธิดังกล่าวโดยไม่สุจริต การกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์บรรยายในฟ้อง จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ส่วนที่กรณีดังกล่าว ทำให้การบังคับคดีต้องล่าช้าออกไปก็เป็นความจำเป็นซึ่งจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไปตามที่กฎหมายบังคับไว้ โจทก์จะอ้างเอาเป็นเหตุเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองหาได้ไม่
พิพากษายืน

Share