แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำเบิกความของพยานโจทก์มีข้อเท็จจริงสอดคล้องต้องกันโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจค้นพบของกลางในคดีประกอบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)เข้าทำการจับกุมและตรวจค้นกระเป๋าในทันทีที่ส่งมอบซึ่งพบเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ในกระเป๋าพยานโจทก์ล้วนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนจึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความให้เป็นผลร้ายหรือปรักปรำจำเลยและไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการสร้างเรื่องเชื่อมโยงบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดแก่จำเลยหรือเพื่อเอาผลงานการจับกุมแม้จะเบิกความแตกต่างและขัดแย้งกันบ้างเกี่ยวกับจำนวนผู้ที่เข้าจับกุมการซุ่มดูเหตุการณ์ก่อนเข้าทำการจับกุมจุดที่มีการส่งมอบของกลางตลอดจนการนำตัวจำเลยไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)ก็ตามแต่ข้อแตกต่างดังกล่าวล้วนเป็นเพียงพลความหาใช่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้น้ำหนักในการรับฟังพยานโจทก์ลดน้อยลงไปจนไม่อาจรับฟังได้ว่ามีเหตุเกิดขึ้นจริงดังที่พยานโจทก์เบิกความไม่และเมื่อพิจารณาแผนที่เกิดเหตุภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุประกอบการเดินเผชิญสืบเมื่อฟังประกอบพยานบุคคลของโจทก์แล้วทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นหาใช่ผู้จับกุมทำงานเพียงเพื่อผลงานการจับกุมและจับกุมจำเลยจากสถานที่หนึ่งแล้วนำมาผูกเรื่องเชื่อมโยงกับการจับกุมพวกของจำเลยดังที่จำเลยฎีกาไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีเฮโรอีนจำนวน 80 หลอดน้ำหนักรวม 87 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 83, 33 และสั่งริบของกลางทั้งหมด
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาสืบพยานฝ่ายจำเลย จำเลยที่ 2 และที่ 3หลบหนี ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับ และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66 วรรคหนึ่ง,106 (ที่ถูกคือมาตรา 102) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33จำคุก 40 ปี ริบของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1ว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ก่อนวันเกิดเหตุนายนิติพัฒน์สืบทราบจากสายลับว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะนำเฮโรอีนไปส่งมอบให้กับจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นนักค้ายาเสพติดในเขตคลองเตย ที่บริเวณบันไดขึ้นแฟลตที่ 9 ถนนอาจณรงค์ แขวงคลองเตย โดยใช้รถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าสีแดง รุ่นสตาร์เล็ท เป็นยานพาหนะนายนิติพัฒน์จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ทราบ และร่วมกันเดินทางไปทำการจับกุมนายนิติพัฒน์เห็นจำเลยที่ 1 มายืนอยู่บริเวณด้านนอกของบันไดทางขึ้นแฟลตที่ 9 ประมาณ 10 นาทีก็มีรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าสีแดง รุ่นสตาร์เล็ท มาจอดที่หน้ารถคันของนายสมศักดิ์ ซึ่งจอดอยู่ใต้แฟลตที่ 9 แล้วจำเลยที่ 3ซึ่งสะพานกระเป๋าสีน้ำตาลลงมาจากรถเดินเข้าไปคุยกับจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ลงมาจากรถแล้วไปยืนอยู่ที่หน้ารถยนต์คันดังกล่าว จำเลยที่ 3 พูดคุยกับจำเลยที่ 1ครู่หนึ่งแล้วจำเลยที่ 3 ส่งกระเป๋าที่สะพายอยู่ให้จำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 เปิดกระเป๋าใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋าดังกล่าว นายนิติพัฒน์กับพวกจึงเข้าทำการจับกุมจำเลยทั้งสาม ตรวจค้นกระเป๋าดังกล่าว พบห่อกระดาษจำนวน 16 ห่อแกะห่อกระดาษออกปรากฏว่ามีวัตถุผงสีขาวบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติกเบอร์ 5 เต็มหลอด ห่อละ 5 หลอด รวมทั้งสิ้นจำนวน80 หลอด นายนิติพัฒน์ได้แจ้งข้อหาให้จำเลยทั้งสามทราบว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภทเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 2และที่ 3 รับสารภาพต่อจากนั้นได้นำตัวจำเลยทั้งสามไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ทำบันทึกการจับกุม เห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวมีข้อเท็จจริงเชื่อมโยงสอดคล้องต้องกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการตรวจค้นพบของกลางในคดีนี้ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เข้าทำการจับกุมและตรวจค้นกระเป๋าในทันทีที่จำเลยที่ 3 ส่งมอบให้จำเลยที่ 1ซึ่งพบเฮโรอีนของกลางบรรจุอยู่ในกระเป๋าดังกล่าว พยานโจทก์ล้วนเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับการสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อนจึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความให้เป็นผลร้ายหรือปรักปรำจำเลยที่ 1 และไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการสร้างเรื่องเชื่อมโยงบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อเอาผิดกับจำเลยที่ 1 หรือเพื่อเอาผลงานการจับกุมปราบปรามยาเสพติดดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง ทั้งคดีนี้พยานโจทก์สืบทราบมาก่อนแล้วว่า จะมีการส่งมอบเฮโรอีนของกลางตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังกล่าว จึงได้ไปเฝ้าสังเกตการณ์เพื่อหาโอกาสเข้าทำการตรวจค้นและจับกุม ผู้ร่วมทำการจับกุมซึ่งเป็นพยานโจทก์และที่จำเลยที่ 1 อ้างเป็นพยานต่างก็เบิกความยืนยันฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อนและขณะทำการตรวจค้นจับกุมจำเลยที่ 1 แม้จะเบิกความแตกต่างและขัดแข้งกันบ้างเกี่ยวกับจำนวนผู้ที่เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 การซุ่มดูเหตุการณ์ก่อนเข้าทำการจับกุม จุดที่มีการส่งมอบของกลางบริเวณใกล้เคียงสถานที่เกิดเหตุและสถานที่จับกุม ตลอดจนการนำตัวจำเลยที่ 1 ไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ก็ตาม แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวล้วนเป็นเพียงพลความหาใช่เป็นสาระสำคัญอันจะทำให้น้ำหนักในการรับฟังพยานหลักฐานโจทก์ลดน้อยลงไปจนไม่อาจรับฟังได้ว่ามีเหตุเกิดขึ้นจริงดังที่พยานโจทก์เบิกความไม่ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จากการเผชิญสืบจุดที่พยานโจทก์เฝ้าดูไม่อาจมองเห็นจุดที่อ้างว่าเป็นจุดซึ่งมอบของกลางเนื่องจากมีร้านค้าปิดทึบบังสายตาอยู่และที่อ้างว่าได้รับแจ้งจากสายลับเกี่ยวกับพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 รวมทั้งได้ไปดูตัวจำเลยที่ 1 ก่อนจับกุมก็เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยเพราะมิได้นำตัวบุคคลที่อ้างว่าเป็นสายลับมาเบิกความนั้นเห็นว่า เมื่อพิจารณาแผนที่เกิดเหตุและภาพถ่ายสถานที่เกิดเหตุประกอบการเดินเผชิญสืบ จะเห็นได้ว่า รถคันที่นายนิติพัฒน์จอดเฝ้าดูอยู่ตรงข้ามบันไดทางขึ้นด้านซ้ายมือของแฟลตที่ 9ฝั่งเดียวกับแฟลตที่ 10 โดยมีถนนคั่นกลางระหว่างแฟลตที่ 9กับแฟลตที่ 10 กว้างประมาณ 10 เมตร แม้บริเวณข้างแฟลตที่ 9จะมีร้านค้าบังอยู่ดังที่จำเลยที่ 1 เบิกความ แต่ก็สามารถมองเห็นสภาพของฝั่งตรงข้ามได้เพราะร้านค้ามีสภาพเป็นเพิงโปร่งและบริเวณบันไดทางขึ้นแฟลตที่ 9 ที่จำเลยที่ 1 ยืนอยู่ไม่มีร้านค้าแต่อย่างใด ประกอบกับนายนิติพัฒน์กับนายสมศักดิ์นั่งอยู่ในรถยนต์และเฝ้าดูการกระทำความผิด จึงต้องอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นได้ชัด น่าเชื่อว่าจุดที่จำเลยที่ 1ยืนอยู่และจำเลยที่ 3 ส่งมอบกระเป๋าบรรจุเฮโรอีนของกลางให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น พยานโจทก์สามารถมองเห็นได้และแม้ไม่ได้นำตัวบุคคลที่อ้างว่าเป็นสายลับมาเบิกความแต่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)ผู้มีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษได้เฝ้าติดตามพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 มาก่อน จากการสืบสวนและรายงานของสายลับก็สามารถนำประกอบในการติดตามตรวจค้นและจับกุมจนกระทั่งค้นได้เฮโรอีนของกลางดังกล่าว เมื่อฟังประกอบพยานบุคคลของโจทก์แล้ว ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น หาใช่ผู้จับกุมทำงานเพียงเพื่อผลงานการจับกุมและจับกุมจำเลยที่ 1 จากสถานที่หนึ่งแล้วนำมาผูกเรื่องเชื่อมโยงกับการจับกุมจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่ได้ของกลางดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์
พิพากษายืน