คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1980/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ที่2เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติเทศบาลพ.ศ.2496มาตรา71ในการควบคุมดูแลเทศบาลโจทก์ที่1เท่านั้นโจทก์ที่2ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ที่1หรือมีอำนาจฟ้องผู้ที่ทำละเมิดแก่โจทก์ที่1ได้ ศาลอุทธรณ์เทศบาลพ.ศ.2496มาตรา39เพียงกำหนดให้คณะเทศมนตรีรับผิดชอบบริหารกิจการของเทศบาลโจทก์เท่านั้นมิได้บัญญัติให้คณะเทศมนตรีร่วมรับผิดกับพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ที่ยักยอกเงินของโจทก์คณะเทศมนตรีจะต้องรับผิดก็ต่อเมื่อได้ปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่ออันวิญญูชนที่กระทำในหน้าที่และฐานะเช่นนั้นทำให้เกิดการยักยอกเงินดังกล่าวเท่านั้น

ย่อยาว

เทศบาลเมืองขอนแก่นโจทก์ที่ 1 และผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นโจทก์ที่ 2 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 20 ร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 5,201,635.75 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ในวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยแต่ละคนร่วมรับผิดในเงินต้นแต่ละจำนวนพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 และที่ 17 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ที่ 6 ถึงที่ 16 ที่ 18 ถึงที่ 20 ให้การเป็นใจความว่า โจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 9 และที่ 20 ถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสองขอให้เรียกนายเชวงศักดิ์ ไพจิตร ทายาทของจำเลยที่ 9 เข้ามาเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 9 และนายชัยณรงค์ โชไชย ผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 20 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยที่ 20ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 20ร่วมกันใช้เงิน 3,180,471.49 บาท แก่โจทก์ที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1รับผิดจำนวน 295,828.25 บาท จำเลยที่ 1 กับที่ 2 รับผิดจำนวน193,160.27 บาท จำเลยที่ 1 กับที่ 20 รับผิดจำนวน 2,058,019.93บาท จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 20 รับผิดจำนวน 254,449 บาท จำเลยที่ 2 กับที่ 20 รับผิดจำนวน 37,327.34 บาท จำเลยที่ 3 รับผิดจำนวน 247,033.25 บาท จำเลยที่ 5 รับผิดจำนวน 1,410 บาท และจำเลยที่ 5 กับที่ 20 รับผิดจำนวน 93,243.45 บาท คำขออื่นของโจทก์ที่ 1 ให้ยกและยกฟ้องโจทก์ที่ 2
โจทก์ ทั้ง สอง และ จำเลย ที่ 20 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 5,177,291.06 บาท แก่โจทก์ที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 รับผิดจำนวน 4,693,036.27 บาทจำเลยที่ 2 รับผิดจำนวน 122,843.09 บาท จำเลยที่ 3 รับผิดจำนวน266,758.25 บาท และจำเลยที่ 5 รับผิดจำนวน 94,653.45 บาทให้ยกฟ้องจำเลยที่ 20 เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ทั้งสองฎีกาในประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 2 และความรับผิดของจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 20 เห็นว่า สำหรับประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ 2 นั้น แม้โจทก์ที่ 1 จะเป็นเทศบาลเมืองขอนแก่น โจทก์ที่ 2เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น และพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496มาตรา 71 บัญญัติว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจควบคุมดูแลเทศบาลให้ปฎิบัติตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามกฎหมาย กับทั้งให้มีหน้าที่แนะนำตักเตือนเทศบาลและตรวจสอบกิจการ เรียกรายงานและเอกสารหรือสถิติใด ๆ จากเทศบาลมาตรวจสอบ ตลอดจนเรียกสมาชิกสภาเทศบาลหรือพนักงานเทศบาลมาชี้แจงหรือสอบสวนก็ได้ แต่เมื่อเทศบาลหรือโจทก์ที่ 1 เป็นนิติบุคคลอำนาจหน้าที่ดังกล่าวของโจทก์ที่ 2 ก็เป็นเพียงอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลเท่านั้นมิได้ให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจกระทำแทนโจทก์ที่ 1 หรือทำให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจฟ้องผู้ที่ทำละเมิดแก่โจทก์ที่ 1 ได้ ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า เงินส่วนหนึ่งที่ถูกยักยอกไปเป็นเงินของกระทรวงมหาดไทยที่จ่ายอุดหนุนการศึกษาให้แก่โจทก์ที่ 1 โดยกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้โจทก์ที่ 2 ควบคุมดูแลและตรวจสอบและอนุมัติให้แก่โจทก์ที่ 1 เมื่อเกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 1โจทก์ที่ 2 มีส่วนเสียหายด้วยนั้น เห็นว่า ข้อนี้โจทก์ทั้งสองมิได้บรรยายไว้ในคำฟ้อง จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้วฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 6 ถึงที่ 19ตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นแล้วว่าโจทก์ที่ 1 เป็นเทศบาลเมืองขอนแก่น จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานคลัง จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี จำเลยที่ 3 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการจำเลยที่ 4 และที่ 5 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดเก็บรายได้ของโจทก์ที่ 1 ในช่วงเวลาตามฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5ต่างได้ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ที่ 1 ไปร่วมกันในรายเดียวกันบ้างแยกกันต่างกรรมต่างวาระบ้างซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 5จะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 5,177,291.06 บาทจำเลยที่ 1 รับผิดจำนวน 4,693,036.27 บาท จำเลยที่ 2 รับผิดจำนวน 122,843.09 บาท จำเลยที่ 3 รับผิดจำนวน 266,758.25 บาทและจำเลยที่ 5 รับผิดจำนวน 94,653.45 บาท ในช่วงเวลาที่เกิดการทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ที่ 1 ไปดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่จำเลยที่ 6 และที่ 7 ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองขอนแก่นจำเลยที่ 8 ถึงวันที่ 13 ดำรงตำแหน่งเทศมนตรี นายสถาพร รื่นราตรีสามีจำเลยที่ 14 และจำเลยที่ 15 ดำรงตำแหน่งปลัดเทศบาล จำเลยที่ 16 ถึงที่ 19 ดำรงตำแหน่งรองปลัดเทศบาล โดยผลัดกันดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ดังกล่าวในช่วงเวลาต่าง ๆ กัน เช่นนี้ตามที่โจทก์ที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 6 ถึงที่ 19 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เพราะปล่อยปละละเลยไม่ปฎิบัติตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 39 และระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเอกสารหมาย จ.41 จ.42 และ จ.43 นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติเทศบาลพ.ศ. 2496 มาตรา 39 บัญญัติว่า “ให้คณะเทศมนตรีควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของเทศบาลตามกฎหมาย โดยมีนายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้า ในกรณีที่นายกเทศมนตรีไม่อาจบริหารกิจการได้ ให้นายกเทศมนตรีตั้งเทศมนตรีผู้หนึ่งทำการแทน” บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว เพียงกำหนดให้คณะเทศมนตรีรับผิดชอบบริหารกิจการของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น มิได้บัญญัติให้คณะเทศมนตรีร่วมรับผิดกับพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตแต่อย่างใด ส่วนระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงินและการตรวจเงินเทศบาล ตามเอกสารหมาย จ.42 ได้กำหนดไว้ในข้อ 64ว่า บรรดาเงินรายได้หรือเงินอื่นใดของเทศบาลให้นายกเทศมนตรีปลัดเทศบาล และหัวหน้าหน่วยการคลังและเจ้าหน้าที่การเงินเป็นผู้รับผิดชอบร่วมกันในการเก็บและรักษาเงินดังกล่าว หากปรากฎว่ามีการทุจริตอันเกี่ยวกับการเก็บรักษาเงินตามระเบียบนี้โดยการปล่อยปละละเลยหรือเพราะประมาทเลินเล่ออันวิญญูชนพึงกระทำในหน้าที่และในฐานะเช่นนั้นให้บุคคลดังกล่าวนี้ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินคืนแก่เทศบาลจนครบ ภายในกำหนดเวลาไม่เกิน 30 วันก็ย่อมมีความหมายว่านายกเทศมนตรีหรือปลัดเทศบาลจะต้องได้ปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่ออันวิญญูชนที่กระทำในหน้าที่และฐานะเช่นนี้เท่านั้น จึงจะต้องรับผิด แต่จากการนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่ามีพยานปากใดเบิกความว่าจำเลยเหล่านี้ได้กระทำเช่นนั้น ที่นายถนอม ชาญนุวงศ์ เบิกความว่า พยานเป็นประธานคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดและผู้รับผิดชอบทางแพ่งกรณีเกิดการทุจริตทางการเงินของโจทก์ที่ 1 ซึ่งทางการสอบสวนทราบว่าอดีตนายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาลได้ปล่อยปละละเลย ไม่ตรวจสอบควบคุมเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงานด้านการเงินโดยใกล้ชิดนั้น ก็มิได้หมายความว่าเป็นการปล่อยปละละเลยหรือประมาทเลินเล่ออันวิญญูชนพึงกระทำในหน้าที่และฐานะเช่นนั้นของจำเลยเหล่านี้แต่อย่างใดคดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 6 ถึงที่ 19 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 ฎีกา โจทก์ที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share