คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเข้าไปในที่ดินของจ. แล้วปลูกมันสำปะหลังเป็นการเข้าไปเพื่อถือการครอบครองหรือกระทำการใดๆอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุขย่อมเป็นความผิดฐานบุกรุกในขณะที่เริ่มเข้าไปปลูกพืชผลนั้นความผิดดังกล่าวได้เกิดขึ้นและสำเร็จแล้วตั้งแต่จำเลยเข้าไปจึงเป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขของจ. ส่วนการที่จำเลยครอบครองที่ดินต่อมาเป็นผลของการบุกรุกโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินจากจ.เป็นเจ้าของหรือมีสิทธิครอบครองหลังจากการกระทำผิดฐานบุกรุกสำเร็จแล้วการกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการบุกรุกที่ดินของโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมไม่เป็นผู้เสียหาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2535 ถึงวันที่9 ตุลาคม 2535 จำเลยทั้งสองกับพวกอีกสองคนที่ยังหลบหนีได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1004 อยู่ที่ตำบลศรีมหาโพธิ์ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ของนายวิชิต แสวงดี ผู้เสียหายเพื่อถือการครอบครองเป็นของตนบางส่วนเนื้อที่ประมาณ 21 ไร่ 3 งาน 71 ตารางวา อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 362, 365
จำเลยทั้งสองให้การปฎิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายวิชิต แสวงดี ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(2) ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปีจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่10 กรกฎาคม 2533 โจทก์ร่วมซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1004 เนื้อที่ 47 ไร่ 2 งาน 64 ตารางวาตำบลศรีมหาโพธิ์ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ตามสำเนาเอกสารหมาย จ.1 จากนายจรัญ ยลอารีย์ ในราคาไร่ละ 35,000 บาทต่อมาเดือนตุลาคม 2535 จำเลยทั้งสองกับพวกนำรถไถเข้าไปปรับที่ดินปลูกมะพร้าว มะม่วง ไผ่ตง และปลูกกระท่อมหนึ่งหลังพร้อมกับล้อมรั้วและปักป้ายว่าเป็นของจำเลยที่ 1 ก่อนที่จำเลยทั้งสองจะนำรถไถเข้าไปปรับที่ดินในปี 2535 จำเลยทั้งสองได้เข้าปลูกมันสำปะหลังในที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ดินพิพาทเป็นของนายจรัญ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมมีว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ตามฎีกาโจทก์เบื้องต้นที่ว่าจำเลยได้เข้าไปในที่พิพาทก่อนที่โจทก์ร่วมจะซื้อมาแต่จำเลยไม่ได้เข้าไปในที่พิพาทในลักษณะยึดถือครอบครอง เพราะการปลูกมันสำปะหลังเป็นพืชล้มลุก ปลูกแล้วจำเลยก็ออกจากที่ดินพิพาทไป จำเลยไม่ได้ปลูกที่พักหรือทำรั้วอันเป็นการแสดงเจตนาครอบครองนั้น เห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์แล้วปลูกมันสำปะหลัง เป็นการที่จำเลยทั้งสองเข้าไปเพื่อถือการครอบครอง หรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุขแล้ว ย่อมเป็นความผิดฐานบุกรุกในขณะที่เริ่มเข้าไปปลูกพืชผลนั้น เมื่อหมดฤดูเก็บเกี่ยวแม้จำเลยจะมิได้เข้าทำอะไรในที่ดินพิพาท แต่ได้เริ่มปลูกพืชผลในฤดูกาลต่อไป ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้เข้าครอบครองยึดถือที่ดินพิพาทตลอดมา เมื่อจำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทและครอบครองตลอดมาตั้งแต่ที่ดินพิพาทยังเป็นของนายจรัญอยู่ความผิดฐานบุกรุกได้เกิดขึ้นและสำเร็จแล้วตั้งแต่จำเลยเข้าไปกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขของนายจรัญ ส่วนการครอบครองที่ดินของจำเลยต่อมาเป็นผลของการบุกรุก โจทก์ร่วมเป็นเจ้าของหรือมีสิทธิครอบครองหลังจากการกระทำผิดฐานบุกรุกสำเร็จแล้ว คงมีแต่เพียงผลของการบุกรุกที่จำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทอยู่เท่านั้นการกระทำของจำเลยทั้งสอง จึงมิใช่เป็นการบุกรุกที่ดินของโจทก์ร่วมที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share