คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 929/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีล้มละลายเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายแล้วก็เป็นอำนาจของพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวที่จะจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยตามวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลายจำเลยจะมาขอให้ทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา231อย่างคดีแพ่งธรรมดาไม่ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2535 ต่อมาวันที่19 พฤษภาคม 2536 จำเลยยื่นคำขอประนอมหนี้ภายหลังล้มละลายวันที่ 8 กรกฎาคม 2536 ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติไม่ยอมรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลยและขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาด เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2536เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 9067, 9068และ 333 แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินในบ้านของจำเลย เพื่อทำการขายทอดตลาดจำเลยยื่นคำร้องคัดค้านว่ามติดังกล่าวของที่ประชุมเจ้าหนี้เป็นมติที่ไม่ชอบ ขอให้ไต่สวนและมีคำสั่งยกเลิกมติที่ประชุมเจ้าหนี้กับให้งดการยึดทรัพย์ของจำเลยจนกว่าคำร้องคัดค้านของจำเลยจะถึงที่สุดเสียก่อน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ไม่ปรากฏว่ามติของที่ประชุมเจ้าหนี้ขัดต่อกฎหมายอย่างไร จึงให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเฉพาะคำร้องขอทุเลาการบังคับว่าให้ยกคำร้อง
จำเลยฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีล้มละลาย เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว ก็เป็นอำนาจของพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวที่จะจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลย ตามวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย จำเลยจะมาขอให้ทุเลาการบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 231 อย่างคดีแพ่งธรรมดาไม่ได้
พิพากษายืน

Share