คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 711/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หลังจากส. ทำสัญญาเช่าสถานที่ของโจทก์กับจำเลยแล้วส. ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์อีกฉบับหนึ่งส.กับโจทก์ย่อมผูกพันที่จะต้องปฏิบัติต่อกันตามสัญญาเช่าซึ่งในส่วนการชำระค่าเช่าระบุไว้ว่าจะชำระค่าเช่าณสำนักงานของผู้ให้เช่าส. จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ที่สำนักงานของโจทก์การที่ส. นำค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์และโจทก์ไม่ได้รับค่าเช่าไม่เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยเอาสถานที่ของโจทก์ไปให้ส. เช่าส่วนที่ส. นำค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ภายใต้เงื่อนไขว่าเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุดเพราะหลังจากที่ส. ทำสัญญากับโจทก์แล้วจำเลยเรียกร้องให้ส. ชำระค่าเช่าให้จำเลยอีกทำให้ส. สับสนไม่แน่ใจว่าระหว่างโจทก์กับจำเลยผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิที่จะให้เช่าสถานที่เช่าที่แท้จริงก็เป็นเรื่องของส. ไม่เกี่ยวกับโจทก์โจทก์จะนำมาเป็นข้ออ้างว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2534 จำเลยได้นำพื้นที่ของอาคารดังกล่าวตำแหน่ง 2 ซี 54 ไปให้นายสมบุญ พงศ์สุภาพรหรือพงศ์สุวภาพ เช่ามีกำหนดการเช่า 2 ปี ตั้งแต่วันที่1 มกราคม 2534 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2535 อัตราค่าเช่าเดือนละ25,000 บาท โดยจำเลยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ ต่อมาโจทก์ทราบจึงแจ้งให้นายสมบุญมาทำสัญญาเช่ากับโจทก์ใหม่โดยกำหนดการเช่า 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2534 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2535 อัตราค่าเช่าและค่าบริการรวมเดือนละ12,552 บาท เมื่อถึงกำหนดต้องชำระค่าเช่านายสมบุญได้นำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีภายใต้เงื่อนไขว่าเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาอันถึงที่สุด โจทก์ได้ติดต่อขอรับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลาง แต่ไม่สามารถรับได้ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิให้เช่าอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ตำแหน่ง 2 ซี 54 และแสดงว่าโจทก์เป็นผู้ให้เช่าหรือเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงของนายสมบุญผู้เช่าตามสัญญาลงวันที่ 7 มีนาคม 2534 ให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิรับเงินที่นายสมบุญวางไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีและที่จะวางทรัพย์ต่อไปเป็นรายเดือนทุก ๆ เดือน ตามสิทธิของโจทก์เดือนละ 12,552 บาท นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2534 ตลอดไป กับขอให้พิพากษาว่าจำเลยไม่มีสิทธิให้บุคคลใดเช่าสถานที่เช่าตามฟ้อง และให้เพิกถอนทำลายนิติกรรมสัญญาเช่าช่วง ฉบับลงวันที่1 มกราคม 2534 ระหว่างจำเลยกับนายสมบุญ ห้ามมิให้จำเลยสอดเข้าเกี่ยวข้องหรือทำนิติกรรมใดผูกพันพื้นที่อาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์อันเป็นการรบกวนและละเมิดสิทธิของโจทก์ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินค่าเช่าและค่าบริการเป็นรายเดือนจำนวน 12,552 บาท นับแต่วันที่นายสมบุญนำเงินไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์กลางเป็นรายเดือนทุก ๆ เดือนตลอดไปจนกว่าศาลมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงและมีสิทธิรับเงินจากสำนักงานวางทรัพย์กลาง
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2534 จำเลยนำพื้นที่ในอาคารมาบุญครองเซ็นเตอร์ตำแหน่ง 2 ซี 54 ซึ่งโจทก์เป็นเจ้าของไปให้นายสมบุญ พงศ์สุภาพหรือพงศ์สุวภาพ เช่าตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.4 หลังจากนั้นโจทก์ให้นายสมบุญมาทำสัญญาเช่ากับโจทก์เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2534 ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.6เมื่อถึงกำหนดวันชำระค่าเช่านายสมบุญได้นำค่าเช่าซึ่งต้องชำระตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2534 เดือนละ 25,000 บาท ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดี ต่อมาโจทก์ไปขอรับเงินค่าเช่าดังกล่าวแต่กรมบังคับคดีไม่ยอมให้โจทก์รับเงิน อ้างว่านายสมบุญแจ้งต่อกรมบังคับคดีว่า ผู้มีสิทธิรับเงินคือโจทก์และจำเลย จึงให้โจทก์นำคำพิพากษาถึงที่สุดว่าบุคคลใดเป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงที่มีสิทธิรับเงินดังกล่าว
พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยนำสถานที่ของโจทก์ไปให้นายสมบุญ พงศ์สุภาพรหรือพงศ์สุวภาพ เช่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นเหตุให้นายสมบุญสับสนว่า ระหว่างโจทก์กับจำเลยฝ่ายใดมีสิทธิรับเงินค่าเช่า นายสมบุญนำเงินค่าเช่าไปวางไว้ที่สำนักงานวางทรัพย์กลางแต่เมื่อโจทก์ไปขอรับเงินดังกล่าวเจ้าพนักงานวางทรัพย์กลางมีคำสั่งให้โจทก์นำคำพิพากษาถึงที่สุดที่แสดงว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้ที่แท้จริงไปแสดงจึงจะยอมจ่ายเงินค่าเช่าดังกล่าวให้โจทก์ ซึ่งหากจำเลยไม่นำสถานที่ของโจทก์ไปให้นายสมบุญเช่า ก็ไม่มีเหตุที่นายสมบุญจะนำค่าเช่าที่จะต้องชำระให้โจทก์ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง การกระทำของจำเลยดังกล่าว ทำให้โจทก์ไม่ได้รับค่าเช่าและได้รับความเสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องได้นั้น เห็นว่า แม้ว่าเดิมนายสมบุญทำสัญญาเช่าสถานที่ของโจทก์ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.4 กับจำเลยแต่หลังจากนั้นนายสมบุญก็ได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งเมื่อนายสมบุญกับโจทก์ทำสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.4 กันแล้ว นายสมบุญกับโจทก์ย่อมผูกพันที่จะต้องปฏิบัติต่อกันตามข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าเอกสารหมายจ.6 ซึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการชำระค่าเช่า มีระบุไว้ในข้อ5.2 ว่า “จะชำระค่าเช่าค่าบริการและหนี้อื่น ๆ โดยพลันเมื่อถึงกำหนดชำระ ณ สำนักงานของผู้ให้เช่า” นายสมบุญจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ที่สำนักงานของโจทก์ ดังนั้น การที่นายสมบุญนำค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางและโจทก์ไม่ได้รับค่าเช่า หาเกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยเอาสถานที่ของโจทก์ไปให้นายสมบุญเช่าไม่ ส่วนที่โจทก์อ้างว่านายสมบุญนำค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง เพราะหลังจากที่นายสมบุญทำสัญญากับโจทก์แล้ว จำเลยเรียกร้องให้นายสมบุญชำระค่าเช่าให้จำเลยอีกจึงทำให้นายสมบุญสับสนไม่แน่ใจว่าระหว่างโจทก์กับจำเลยผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิที่จะให้เช่าสถานที่เช่าที่แท้จริงก็เป็นเรื่องของนายสมบุญหาเกี่ยวกับโจทก์ไม่ และโจทก์จะอ้างเหตุความสับสนของนายสมบุญดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์หาได้ไม่ เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่อาจจะฟ้องจำเลย โดยขอให้ศาลพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share