คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9545/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่2ตัวแทนขายรถยนต์ของจำเลยที่1จะไม่มีอำนาจรับเงินค่าซื้อรถยนต์แทนจำเลยที่1และการที่จำเลยที่2รับเงินค่าซื้อรถยนต์จากโจทก์จะเป็นการที่ตัวแทนทำการนั้นไปเกินอำนาจตัวแทนก็ตามแต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่2และทางปฎิบัติของจำเลยที่1ผู้เป็นตัวการทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการที่จำเลยที่2รับเงินค่าซื้อรถยนต์ภายในขอบอำนาจของจำเลยที่2ผู้เป็นตัวแทนจำเลยที่1จึงต้องรับผิดต่อโจทก์บุคคลภายนอกผู้สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา822ประกอบมาตรา820ดังนั้นจึงต้องถือว่าโจทก์ได้ชำระราคารถยนต์ค้นพิพาทให้แก่จำเลยที่1แล้ว ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความเกินขั้นสูงตามตาราง6ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนในผลแห่งคดีแต่มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้นั้นแม้ปัญหานี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2536 โจทก์ได้จองรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จำหน่ายกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ที่บ้านของโจทก์ โดยโจทก์ได้ชำระเงินค่าจองรถยนต์เป็นเช็คจำนวนเงิน 27,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2536 โจทก์ได้ตกลงซื้อรถยนต์จากจำเลย ที่ 2 ในราคา 569,000 บาท โจทก์ได้ชำระราคารถดังกล่าวเป็นเช็คเป็นเงิน 551,900 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2ทั้งจำเลยที่ 2 ได้ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวพร้อมกับใบรับฝากรถยนต์ให้แก่โจทก์ที่บ้านของโจทก์ โดยตกลงว่าจะจัดการจดทะเบียนรถยนต์ พร้อมแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีประจำปี และแผ่นป้ายเลขทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์ภายใน 14 วันนับจากวันที่โจทก์ได้รับมอบรถยนต์ ครั้นถึงกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 2 ได้ตกลงกับโจทก์ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ดำเนินการส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ทั้งยังไม่ได้จดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการ และจำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 ให้ดำเนินการจดทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์หลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวพร้อมส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์และแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีกับแผ่นป้ายเลขทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมปฎิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า การขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นการขายโดยมีเงื่อนไขว่าจะจดทะเบียนส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ต่อเมื่อโจทก์ได้ชำระราคารถยนต์คันดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว แต่โจทก์และจำเลยที่ 2 ร่วมกันทำการฉ้อฉลจำเลยที่ 1 โดยโจทก์สั่งจ่ายเช็คชำระราคารถยนต์คันดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ในนามของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้รับชำระค่ารถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงยังไม่ต้องไปจดทะเบียนและส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่โจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากนี้ใบรับฝากรถยนต์ตามเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่เอกสารที่แท้จริงและมีความสมบูรณ์ที่จำเลยที่ 1 ได้ออกให้แก่โจทก์เนื่องจากผู้ลงลายมือชื่อในช่องผู้มีอำนาจไม่ใช่ลายมือชื่อของกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1แต่เนื่องจากโจทก์ได้รับรถยนต์คันดังกล่าวไปโดยที่จำเลยที่ 1ยังไม่ได้รับชำระค่ารถยนต์ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระราคาค่ารถยนต์คันดังกล่าวจำนวน 569,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 พร้อมค่าจดทะเบียนรถยนต์จำนวน 2,900 บาท เพื่อให้จำเลยที่ 1ดำเนินการจดทะเบียนให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ชำระราคาค่ารถยนต์จำนวน 569,000 และค่าจดทะเบียนรถยนต์จำนวน 2,900 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 571,900 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 1
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ชำระราคารถยนต์คันดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 แล้ว ทั้งการซื้อขายรถยนต์คันดังกล่าวโจทก์ทำโดยสุจริต มิได้ทำการฉ้อฉลร่วมกับจำเลยที่ 2 นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยที่ 2 ต่อพนักงานสอบสวนในข้อหายักยอกทรัพย์คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล และเมื่อโจทก์ได้ขอให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการจดทะเบียนและส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์ จำเลยที่ 1 เพิกเฉย และให้รอจำเลยที่ 1ไล่เบี้ยเอาแก่ผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 2 ก่อน ซึ่งทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนอกจากนี้ใบรับฝากรถยนต์ตามเอกสารท้ายฟ้องของโจทก์เป็นเอกสารที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ 1 ออกให้แก่โจทก์ ทั้งในเอกสารดังกล่าวก็มีชื่อของจำเลยที่ 1 อยู่ โจทก์ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ทำการฉ้อฉลจำเลยที่ 1 เนื่องจากโจทก์ได้ชำระราคารถยนต์ไปแล้วเป็นเงินเกือบ 600,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนและส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนพร้อมส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถยนต์แผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีและแผ่นป้ายเลขทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฎิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้ติดต่อซื้อรถยนต์คันพิพาทของจำเลยที่ 1 จากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 1 สาขารามอินทรา ต่อมาพนักงานของจำเลยที่ 1 สาขารามอินทรา ได้นำรถยนต์คันพิพาทไปส่งมอบให้แก่โจทก์ที่บ้าน และโจทก์ได้ชำระค่าซื้อรถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการโชว์รูม ขายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 สาขารามอินทรา ได้ติดต่อขายรถยนต์คันพิพาทของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ที่บ้านของโจทก์ อีกทั้งพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้นำรถยนต์คันพิพาทไปมอบให้โจทก์ที่บ้าน และมอบหลักฐานใบรับมอบรถยนต์และใบรับฝากรถยนต์แก่โจทก์โจทก์ได้ชำระค่ารถยนต์เป็นเช็คจำนวน2 ฉบับ ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้นำเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินแล้ว แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจรับเงินค่าซื้อรถยนต์จากลูกค้า แต่การกระทำต่าง ๆ ดังกล่าวของจำเลยที่ 2ที่ได้แสดงออกต่อบุคคลทั่วไป รวมทั้งโจทก์แสดงว่าจำเลยที่ 2เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการขายรถยนต์พิพาทแก่โจทก์รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่รับเงินค่าซื้อรถยนต์คันพิพาทจากโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างว่าการที่โจทก์ชำระราคาค่ารถยนต์เป็นเช็คในนามของจำเลยที่ 2 แทนที่จะชำระในนามของจำเลยที่ 1 ถือเป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์นั้น ก็ยังไม่มีเหตุผลพอให้รับฟังได้ ได้ความว่าในทางปฎิบัติของจำเลยที่ 1ลูกค้าสามารถที่จะชำระเงินค่าซื้อรถยนต์เป็นเช็คสั่งจ่ายระบุชื่อผู้รับเงินในนามของจำเลยที่ 2 ได้ นอกจากนั้นจำเลยที่ 1เคยจะแจ้งความเพื่อดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ในข้อหายักยอกเงินจากการขายรถยนต์ให้โจทก์ และก่อนหน้านั้นจำเลยที่ 1ก็ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 ยักยอกเงินจากการขายรถยนต์ให้แก่ลูกค้ารายหนึ่ง หลังจากนั้นได้มีการเจรจาตกลงกับจำเลยที่ 2 ดังนี้ แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 2ตัวแทนขายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จะไม่มีอำนาจรับเงินค่าซื้อรถยนต์แทนจำเลยที่ 1 และการที่จำเลยที่ 2 รับเงินค่าซื้อรถยนต์จากโจทก์จะเป็นการที่ตัวแทนทำการนั้นไปเกินอำนาจตัวแทนก็ตาม แต่การกระทำและทางปฎิบัติของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการดังกล่าวข้างต้นย่อมทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการที่จำเลยที่ 2 รับเงินค่าซื้อรถยนต์จากโจทก์นั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์บุคคลภายนอกผู้สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 822 ประกอบมาตรา 820 ดังนั้น จึงต้องถือว่าโจทก์ได้ชำระราคารถยนต์คันพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท และค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ และศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ในส่วนนี้นั้น ปรากฎว่าตามคำฟ้องโจทก์เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ค่าทนายความตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งขั้นสูงกำหนดไว้ไม่เกิน 3,000 บาท ดังนี้ค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงไม่ชอบด้วยตาราง 6 ดังกล่าว แม้ปัญหานี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเสียใหม่ให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 5,000บาทแทนโจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องในศาลชั้นต้นแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

Share