คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9152/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีในชั้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองมีว่าจำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ซึ่งทั้งผู้ร้องและโจทก์ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำร้องและข้ออ้างตามคำคัดค้านของตนตามประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกันดังนั้นการยื่นบัญชีระบุจึงต้องตกอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88ที่บังคับใช้ในขณะนั้นแต่ตามคำร้องโจทก์ที่ขอยื่นระบุพยานเพิ่มเติมระบุเพียงว่าเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นพยานสำคัญเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลอนุญาตโดยมิได้แสดงเหตุอันสมควรว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใดอีกทั้งหากจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องขอดังกล่าวแล้วก็จะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบเพราะผู้ร้องได้สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วและไม่มีโอกาสนำสืบหักล้างได้ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ชอบแล้ว

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยและขอแบ่งสินสมรส ศาลพิพากษาให้หย่าและให้แบ่งสินสมรสกันคนละกึ่งหนึ่ง คู่ความอุทธรณ์และฎีกา ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดมานั้นมีที่ดินโฉนดเลขที่135004 และ 135005 ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี รวมอยู่ด้วย
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 881/2532 ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2532 ให้จำเลยชำระเงิน1,925,944.40 บาท แก่ผู้ร้องพร้อมดอกเบี้ย โดยการผ่อนชำระเป็นงวด หากจำเลยผิดนัดก็ให้ผู้ร้องบังคับคดี ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองไว้แก่ผู้ร้องคือ ที่ดินมีโฉนดทั้งสองแปลงที่โจทก์คดีนี้นำยึดไว้ดังกล่าว ต่อมาจำเลยผิดนัด และยังคงค้างชำระหนี้โจทก์จำนวน 3,206,565,69 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 2,751,159.27 บาท ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้จำนองจึงขอให้เอาเงินที่จะได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ หากโจทก์สละสิทธิในการบังคับคดีผู้ร้องก็ขอสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ผู้ยึดเพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไป
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องหย่าจำเลยคดีนี้ที่ดินพิพาทติดจำนองผู้ร้องอยู่เพียง 179,854.40 บาทหลังจากที่ยื่นฟ้องแล้วโจทก์ก็ได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบ แต่ผู้ร้องยังคงให้จำเลยกู้เงินและเพิ่มวงเงินกู้จนจำเลยเป็นหนี้ตามคำร้องการกระทำของผู้ร้องเป็นการใช้สิทธิโดยโดยไม่สุจริตและเป็นการร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอรับชำระหนี้จำนองได้ไม่เกิน 179,854.40 บาท ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้จำนองตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 881/2532 ของศาลชั้นต้นก่อนเจ้าหนี้อื่น ๆ
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ศาลนัดไต่สวนพยานผู้ร้องในวันที่ 12 มีนาคม 2536 ในวันนั้นได้ไต่สวนพยานผู้ร้อง 1 ปาก แล้วผู้ร้องแถลงพยาน นัดไต่สวนพยานโจทก์ในวันที่ 31 มีนาคม 2536 แต่ในวันที่ 29 มีนาคม 2536 โจทก์ยื่นคำร้องขอระบุพยานเพิ่มเติม อ้างว่าเพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์โดยพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานสำคัญที่จำเป็นในการพิจารณาของศาลเพื่อให้การพิจารณาเป็นไปโดยสมบูรณ์ครบถ้วนเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลอนุญาต ศาลชั้นต้นสั่งว่า สำเนาให้ผู้ร้องสั่งในวันนัด พอถึงวันนัดได้มีการไต่สวนพยานโจทก์ 1 ปากและในวันนั้นผู้ร้องแถลงคัดค้านว่า โจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุผลที่ขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมไม่เพียงพอที่ศาลควรรับไว้ และยื่นหลังจากที่ผู้ร้องสืบพยานเสร็จและแถลงหมดพยานแล้ว หากรับบัญชีระบุพยานของโจทก์จะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่าคำร้องของโจทก์ไม่มีเหตุผลสมควรยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ฉบับลงวันที่ 29 มีนาคม 2536 นั้น เป็นการชอบหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าในชั้นนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จำนองโดยอ้างว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินและเบิกเงินเกินบัญชีไปจากผู้ร้องโดยจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงไว้เป็นประกันการชำระหนี้และผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ซึ่งได้พิพากษาจำเลยชำระหนี้แก่ผู้ร้องดังมีรายละเอียดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่881/2532 ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนองตามคำพิพากษา จึงขอรับเงินที่จะได้จากการขายทอดตลาดในที่ดินพิพาทชำระแก่ผู้ร้องก่อนเจ้าหนี้รายอื่น หากโจทก์สละสิทธิการบังคับคดี ผู้ร้องขอสวมสิทธิบังคับคดีแทนต่อไปโจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยนั้น ที่ดินพิพาทติดจำนองผู้ร้องอยู่เพียงประมาณ 179,000 บาท หลังฟ้องแล้วโจทก์ได้แจ้งให้ผู้ร้องทราบแต่ผู้ร้องก็ยังคงให้จำเลยกู้เงินและเพิ่มวงเงินกู้ จนกระทั่งจำเลยเป็นหนี้ตามคำร้อง การกระทำดังกล่าวของผู้ร้องเป็นการร้องใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ดังนี้ประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีในชั้นนี้จึงมีว่า จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องและจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเป็นประกันการชำระหนี้ตามคำร้องนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งทั้งผู้ร้องและโจทก์ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำร้อง และข้ออ้างตามคำคัดค้านของตนตามประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกัน ดังนั้นการยื่นบัญชีระบุ จึงต้องตกอยู่ในบังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 ที่บังคับใช้ในขณะนั้นซึ่งตามคำร้องโจทก์ที่ขอยื่นระบุพยานเพิ่มเติม ฉบับลงวันที่ 29มีนาคม 2536 นั้น ระบุเพียงว่า เพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์และเป็นพยานสำคัญ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลอนุญาต โดยมิได้แสดงเหตุผลอันสมควรว่าโจทก์ไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด อีกทั้งหากจะอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานตามคำร้องขอดังกล่าวแล้วไซร้ก็จะทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ เพราะผู้ร้องได้สืบพยานไปเสร็จสิ้นแล้ว และไม่มีโอกาสนำสืบหักล้างได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมของโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share