คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7974/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและไม่เคยรับเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้เงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์เป็นค่ามัดจำที่โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลยแต่ตกลงกันทำเป็นสัญญากู้ยืมเงินไว้เพราะหากจำเลยผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบที่ดินให้โจทก์ได้ยอมให้โจทก์บังคับตามสัญญากู้ยืมเงินเพื่อเรียกค่ามัดจำคืนจำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์เข้าทำประโยชน์แล้วแต่โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระเงินที่เหลือตามกำหนดจำเลยจึงบอกเลิกการขายที่ดินและริบเงินมัดจำโจทก์จะนำสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องบังคับจำเลยไม่ได้ตามคำให้การของจำเลยเท่ากับต่อสู้ว่าสัญญากู้เงินตามฟ้องไม่สมบูรณ์จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลเข้านำสืบตามข้อต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน 50,000 บาทหลังจากทำสัญญาจำเลยไม่ชำระดอกเบี้ย และเมื่อครบกำหนดก็ไม่ชำระต้นเงินคืนโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันกู้ยืมจนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 2,187 บาท ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 52,187 บาท พร้อมดอกเบี้ย นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและไม่เคยรับเงินจากโจทก์ เงินจำนวน 50,000 บาท ที่จำเลยรับไปจากโจทก์เป็นค่ามัดจำที่โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลยราคา 100,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาท โจทก์จะนำมาชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันวางเงินมัดจำ โจทก์จำเลยตกลงทำเป็นสัญญากู้ยืมเงินไว้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสัญญาวางมัดจำเพื่อเป็นการสัญญาว่าจำเลยจะขายที่ดินให้โจทก์และหากจำเลยผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบที่ดินให้โจทก์ได้ จำเลยจะยอมให้โจทก์บังคับตามสัญญากู้ยืมเงินเพื่อเรียกค่ามัดจำคืน จำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์นับแต่วันทำสัญญาวางมัดจำและโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินอีกทั้งทำการแผ้วถางปรับปรุงพื้นที่ แต่ต่อมาโจทก์ไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนด จำเลยจึงบอกเลิกการขายที่ดินต่อโจทก์และริบเงินมัดจำที่โจทก์ส่งมอบให้แก่จำเลย สัญญากู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยตามฟ้องไม่สมบูรณ์มีเจตนาและวัตถุประสงค์ให้เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย และสัญญาวางมัดจำมาตั้งแต่ต้น และนิติสัมพันธ์ตามสัญญากู้ยืมได้ระงับสิ้นไปเนื่องจากการผิดสัญญาของโจทก์แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวตั้งแต่วันที่24 มกราคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 2,187 บาท
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบตามที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การหรือไม่ เห็นว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินและไม่เคยรับเงินจากโจทก์ตามสัญญากู้ เงินจำนวน 50,000 บาท ที่จำเลยรับไปจากโจทก์เป็นค่ามัดจำที่โจทก์ซื้อที่ดินของจำเลย 10 ไร่ ราคา 100,000 บาทแต่ตกลงกันทำเป็นสัญญากู้ยืมเงินไว้เพราะหากจำเลยผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบที่ดินให้โจทก์ได้ ยอมให้โจทก์บังคับตามสัญญากู้ยืมเงินเพื่อเรียกค่ามัดจำคืน จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์เข้าทำประโยชน์แล้ว แต่โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระเงินที่เหลือตามกำหนด จำเลยจึงบอกเลิกการขายที่ดินและริบเงินมัดจำโจทก์จะนำสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องบังคับจำเลยไม่ได้ตามคำให้การของจำเลยเท่ากับต่อสู้ว่าสัญญากู้เงินตามฟ้องไม่สมบูรณ์ จำเลยจึงมีสิทธินำพยานบุคคลเข้าสืบตามข้อต่อสู้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ตามพยานหลักฐานของจำเลยว่าเงินที่โจทก์มอบให้จำเลยเป็นค่ามัดจำที่ดินที่โจทก์ซื้อจากจำเลย หาใช้เป็นการกู้ยืมตามฟ้องโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share