แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่3มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะที่เป็นลูกหนี้ชั้นต้นตามสัญญาจ้างคงเป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้นแม้จะมีข้อกำหนดในหนังสือสัญญาค้ำประกันว่าจำเลยที่3ยอมชำระเงินแทนให้โจทก์ทันทีโดยโจทก์ไม่จำต้องเรียกร้องให้จำเลยที่1ชำระก่อนก็ไม่ทำให้จำเลยที่3ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเปลี่ยนฐานะเป็นลูกหนี้ตามสัญญาจ้างและไม่ทำให้จำเลยที่1กลายเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่3โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่1และที่2รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่3
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจ้างเหมากับจำเลยที่ 1รวม 2 ฉบับ โดยจำเลยที่ 1 นำหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารจำเลยที่ 3 มามอบให้แก่โจทก์เป็นประกันการปฎิบัติตามสัญญาเมื่อครบกำหนดเวลาแล้วจำเลยที่ 1 ก่อสร้างงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ค่าเสียหายและดอกเบี้ยซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน 1,282,450.80 บาท โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยที่ 3นำเงินตามสัญญาค้ำประกันจำนวน 379,330 บาท มาชำระให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยที่ 3 เพิกเฉย จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในระหว่างผิดนัดคิดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 424,852.80บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ร่วมต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย รวมจำเลยที่ 1ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 1,707,303.60 บาท ซึ่งจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 1,707,303.60 บาท โดยจำเลย 3รับผิดไม่เกิน 424,852.80 บาท ให้จำเลยที่ 1 และ ที่ 2ร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน1,569,942 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 3 ชำระดอกเบี้ยอัตราเดียวกันของต้นเงิน 379,330บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์มิได้บอกเลิกสัญญาก่อสร้างสถานีสูบน้ำที่ 9 กับจำเลยที่ 1 ก่อนว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพงศ์ไพบูลย์ก่อสร้างแทนจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเรื่องค่าเสียหายและค่าปรับ จำเลยที่ 3 รับผิดตามวงเงินค้ำประกันที่ระบุในสัญญา และไม่ต้องรับผิดในดอกเบี้ย โจทก์หักเงินร้อยละ 10 ของมูลค่างานทั้งหมดจากจำเลยที่ 1 จำนวน279,460 บาท เมื่อนำมาตัดชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการก่อสร้างงานของจำเลยที่ 1 ที่จำเลยที่ 3 ค้ำประกันในวงเงิน379,330 บาท แล้ว จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดเพียง 99,870 บาทขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,282,450.80 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,190,612 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3ร่วมรับผิดเป็นเงิน 424,852.80 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 379,330 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติฟังได้ว่าโจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ต่างเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 1ก่อสร้างสถานีสูบน้ำที่ 9 และที่ 10 โครงการพัฒนาเกษตรชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก อำเภอลาดบัวหลวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามเอกสารหมาย จ.5 เป็นเงิน 3,329,000บาทและตามเอกสารหมาย จ.7 เป็นเงิน 4,257,600 บาท โดยจำเลยที่ 3 ได้ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 3 ยอมรับผิดชำระเงินแทนให้แก่โจทก์จำนวน166,450 บาท และ 212,880 บาท ตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.8แต่เมื่อครบกำหนด จำเลยที่ 1 ทำการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยที่ 1 และว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดพงศ์ไพบูลย์ก่อสร้างทำการก่อสร้างสถานีสูบน้ำทั้งสองแห่งจนแล้วเสร็จ โดยต้องเสียค่าจ้างก่อสร้างสถานีสูบน้ำที่ 9 เพิ่มขึ้นจากจำนวนเงินที่ตกลงไว้กับจำเลยที่ 1 จำนวน 331,800 บาท ส่วนสถานีสูบน้ำที่ 10 ไม่ต้องเสียค่าจ้างเพิ่ม จำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2รับผิดชดใช้ค่าจ้างที่โจทก์ต้องเสียเพิ่มขึ้น กับค่าควบคุมงานเป็นรายวัน ค่าปรับรายวันนับแต่วันพ้นกำหนดส่งมอบงานตามสัญญาแต่ละฉบับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาตลอดจนดอกเบี้ยในค่าเสียหายดังกล่าว นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,282,450.80 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.6 และ จ.8 ร่วมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 424,852.50 บาทคดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1และที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 3 ในเงินหลักประกันและดอกเบี้ย จำนวน 424,852.80 บาท หรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.5 และ จ.7 ข้อ 3 กำหนดให้จำเลยที่ 1ผู้รับจ้างนำหลักประกันมามอบให้แก่โจทก์ผู้ว่าจ้างเพื่อเป็นหลักประกันการปฎิบัติตามสัญญารวมเป็นเงิน 339,330 บาทเงินดังกล่าวนี้โจทก์จะคืนให้จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1ปฎิบัติตามสัญญา และโจทก์ได้รับมอบงานแล้ว แต่หากโจทก์บอกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ยอมให้โจทก์ริบเงินจำนวนนี้ได้ตามสัญญาข้อ 20 ความรับผิดของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนี้เป็นความผิดตามสัญญาจ้างในฐานะที่ลูกหนี้ชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 3 มิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะที่เป็นลูกหนี้ชั้นต้นตามสัญญาจ้างคงเป็นคู่สัญญากับโจทก์ในฐานะที่เป็นผู้ค้ำประกันเท่านั้นซึ่งตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.6 และ จ.8 ระบุว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขสัญญาที่ทำไว้กับโจทก์หรือปฎิบัติผิดเงื่อนไขข้อหนึ่งข้อใด ซึ่งโจทก์มีสิทธิริบหลักประกันหรือเรียกค่าปรับหรือค่าเสียหายใด ๆ จากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 3 ยอมรับผิดต่อโจทก์ แม้จะมีข้อกำหนดในหนังสือสัญญาค้ำประกันว่า จำเลยที่ 3 ยอมชำระเงินแทนให้โจทก์ทันที โดยโจทก์ไม่จำต้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระก่อน ก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเปลี่ยนฐานะเป็นลูกหนี้ตามสัญญาจ้าง และไม่ทำให้จำเลยที่ 1 กลายเป็นลูกหนี้โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ 3 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ 3
พิพากษายืน