คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4257/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใด ยึด ถือครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร ซึ่งเป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันสัญญาซื้อขายการครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติย่อมใช้บังคับกันได้เพราะมิใช่นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย คดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็ค ไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 จึงนำ ป.วิ.อ.มาตรา 46 มาใช้บังคับหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องจริงแต่เป็นเช็คที่สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายกรรมสิทธิที่ดิน2 แปลง ซึ่งจำเลยชำระเงินสดให้โจทก์แล้วครึ่งหนึ่งเป็นเงิน748,250 บาท ส่วนอีกครึ่งหนึ่งชำระเป็นเช็คตามฟ้องขณะทำสัญญาซื้อขายโจทก์ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน โจทก์หลอกลวงจำเลยว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองสามารถทำประโยชน์และไม่เป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติแต่ความจริงที่ดินทั้งสองแปลงอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติสัญญาซื้อขายจึงขัดต่อกฏหมาย จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์ โจทก์มีหน้าที่ต้องคืนเงิน 748,250 บาท แก่จำเลยฐานลาภมิควรได้ ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งให้บังคับโจทก์ใช้เงิน 748,250บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมโจทก์มิได้หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดิน และเป็นสัญญาที่ไม่มีวัตถุที่ประสงค์ต้องห้ามตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้เงิน 800,942 บาทกับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 748,250 บาทให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาชั้นฎีกาว่ามูลหนี้ตามเช็ครวม 7 ฉบับ ตามฟ้องโจทก์ขัดต่อกฏหมายหรือไม่ ตามพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบตรงกันข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่าที่ดินที่โจทก์จำเลยทำสัญญาซื้อขายกันตามเอกสารหมาย จ.1 จ.2 อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “คลองตะเคียน” จำเลยออกเช็ค 7 ฉบับ ตามฟ้องเป็นการชำระหนี้ค่าที่ดินส่วนหนึ่งตามสัญญาซื้อขายดังกล่าว หลังจากทำสัญญาซื้อขายแล้ว โจทก์ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้จำเลย จำเลยเข้าครอบครองโดยการปลูกอ้อยตลอดมา โดยโจทก์ไม่เข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไป ทั้งยังได้ความตามที่จำเลยนำสืบอีกว่า ป่าสงวนแห่งชาติแปลงนี้หมดสภาพป่า มีราษฎรนับพันครอบครัวเข้าครอบครองทำไร่อ้อยและมันสำปะหลัง ต่อมาทางราชการประกาศให้ราษฎรเหล่านั้นร้องขอใช้สิทธิทำกินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประกาศของกิ่งอำเภอบ่อทอง เอกสารหมายล.2 จำเลยได้แจ้งสิทธิครอบครองแล้ว 15 ไร่ ส่วนที่เหลือจำเลยครอบครองโดยเช่าจากทางราชการ ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ก็เป็นเพียงบทบัญญัติที่ใช้บังคับระหว่างรัฐกับราษฎร ซึ่งเป็นผลให้ราษฎรที่เข้ายึดถือครอบครองที่ดินไม่ได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้ แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันดังกรณีเช่นโจทก์จำเลยในคดีนี้ โจทก์เป็นผู้ที่ได้ครอบครองโดยการปลูกพืชไร่เช่นอ้อยและมันสำปะหลังอยู่ก่อน ย่อมมีสิทธิขายการครอบครองและพืชไร่ที่ปลูกอยู่แล้วในที่ดินและมีหน้าที่ส่งมอบการครอบครองและพืชไร่ที่ปลูกไว้นั้นให้จำเลย ส่วนจำเลยก็มีสิทธิได้รับมอบและเข้าครอบครองที่ดินและพืชไร่นั้น ทั้งมีหน้าที่ต้องชำระราคาตามสัญญา สัญญาซื้อขายการครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าว ย่อมไม่เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฏหมาย เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยออกเช็ค 7 ฉบับตามฟ้องเพื่อชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยย่อมต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คนั้นแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914, 989… ส่วนที่จำเลยฎีกาและยื่นคำแถลงการณ์ว่า ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 903, 904/2528ของศาลชั้นต้น คดีระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี โจทก์นายเทียนชัย กันตรัตนากุล โจทก์ร่วม นายบุ้นตง เกียรติไกรวัลศิริจำเลย โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว และเช็คตามฟ้องในคดีอาญาดังกล่าวเป็นเช็คตามฟ้องคดีนี้ ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น เห็นว่า ในคดีอาญาดังกล่าวจำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คอันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จึงไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว จะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา46 มาใช้บังคับไม่ได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2552/2524 ระหว่างนายยิ่งตง แซ่เตีย โจทก์ นายวิชัย ทรงเยาว์ศรี จำเลย สรุปแล้วเห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 10,000 บาทแทนโจทก์.

Share