แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งสามแล้วให้ลงชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมให้จำเลยที่4และที่5ออกจากที่พิพาทและใช้ค่าเสียหายจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีไม่เกิน200,000บาทจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งจำเลยที่2ที่4และที่5ฎีกาว่าจำเลยที่2รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่1โดยสุจริตเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์ทั้งสามถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 3503 ตำบลหนองกระเจ็ดอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวาและจำเลยที่ 1 จะไปไถ่ถอนจำนองจากจำเลยที่ 2 ภายใน 3 เดือนแล้วจะนัดให้โจทก์ทั้งสามไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดิน โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้จัดการของจำเลยที่ 2ทราบว่าโจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ 3 ไร่ 3 วา 82 ตารางวา ตามคำพิพากษาและขอรับโฉนดไปจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 3 ไม่ส่งมอบให้ อ้างว่าต้องประชุมกรรมการบริหารของจำเลยที่ 2 ก่อนและแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่มาไถ่ถอนจำนอง วันที่ 12 มีนาคม 2530 จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวทั้งแปลงให้จำเลยที่ 2 โจทก์ทั้งสามบอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ระงับการจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่นแต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้สมคบกันขายที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่งเป็นพี่สาวและพี่เขยของจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อให้จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้จัดการจำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ซื้อคืนจากจำเลยที่ 2ในราคา88,285 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ทราบดีอยู่แล้วว่าโจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์อยู่บางส่วน ราคาที่ซื้อขายก็ต่ำกว่าราคาในท้องตลาด จำเลยที่ 4 และที่ 5 ได้ห้ามโจทก์ทั้งสามเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสามขาดประโยชน์จากการทำมาหากินในที่ดินดังกล่าวปีละ 5,000 บาท ขอศาลพิพากษาให้สำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3503 ตำบลหนองกระเจ็ด อำเภอบ้านลาดจังหวัดเพชรบุรี ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งทำเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2530 เฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งสาม เนื้อที่ 3 ไร่3 งาน 82 ตารางวา แล้วให้ลงชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 724/2525 ของศาลชั้นต้นและให้เพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 ที่ทำเมื่อวันที่15 พฤษภาคม 2530 เพราะเนื้อที่จำนวน 3 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวาของโจทก์ทั้งสาม กับให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ออกจากที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสาม และให้ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน5,000 บาท กับค่าเสียหายอีกปีละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5 จะส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมจำเลยที่ 1 เคยกู้เงินจำเลยที่ 2 โดยจำนองที่พิพาทเป็นประกันจำเลยที่ 2 ให้โอกาสจำเลยที่ 1 หลายปี ในที่สุดได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินชำระหนี้จำเลยที่ 2 ไม่ทราบเรื่องว่าโจทก์ทั้งสามฟ้องจำเลยที่ 1 และได้ทำยอมกันทั้งเป็นเรื่องระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 1 ไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 2 การปฏิบัติการของจำเลยที่ 2 เป็นไปตามระเบียบและมีขั้นตอนโดยสุจริตและตามระเบียบของจำเลยที่ 2 เมื่อมีญาติลูกหนี้ซึ่งโอนที่ดินชำระหนี้มาขอซื้อที่ดินคืน จำเลยที่ 2 ก็ต้องขายคืนในราคาที่ใกล้เคียงกับราคาที่ได้กรรมสิทธิ์มาจำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นเพียงผู้ประสานงานระหว่างกรรมการสหกรณ์กับลูกค้าไม่มีอำนาจโดยตรงที่จะระงับการโอนที่ดินแปลงดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ภาระตามสัญญายอมในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นเรื่องของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่เรื่องทรัพย์พิพาท จำเลยที่ 4 และที่ 5 หาต้องรับผิดชอบไม่ ที่พิพาทมีสภาพเป็นไร่ร้างอยู่ห่างถนน ราคาประเมินไร่ละไม่เกิน 8,000 บาท จำเลยที่ 4 และที่ 5 ซื้อที่พิพาทในราคาปกติและซื้อในฐานะญาติของลูกหนี้จำเลยที่ 2 ที่ขอซื้อคืน จำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติไปตามระเบียบของจำเลยที่ 2 โจทก์เรียกค่าเสียหายปีละ 5,000 บาท นั้นเกินความจริง เพราะที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่ ใช้ปลูกกล้วยจะมีรายได้ไม่เกินปีละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนการจดทะเบียนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 3503 ตำบลหนองกระเจ็ดอำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2530ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม2530 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 4 และที่ 5 เฉพาะส่วนที่เป็นสิทธิของโจทก์ทั้งสาม เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวาตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดเพชรบุรี คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 724/2525ให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ออกไปจากที่พิพาทส่วนที่เป็นของโจทก์ทั้งสามและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 5,000 บาทกับค่าเสียหายอีกปีละ 5,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5 จะออกไปจากที่พิพาท
จำเลย ที่ 2 ที่ 4 และ ที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ที่ 4 และ ที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์ทั้งสามแล้วให้ลงชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ให้จำเลยที่ 4 และที่ 5 ออกจากที่พิพาทและใช้ค่าเสียหาย จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริต เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ เป็นประเด็นข้อพิพาทที่ยุติตามคำสั่งศาลชั้นต้น และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายก ฎีกา จำเลย ที่ 2 ที่ 4 และ ที่ 5