คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7512/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การชำระค่าระวางขนส่งระหว่างโจทก์จำเลยนี้เมื่อสินค้าไปถึงท่าเรือของโจทก์แล้วจำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าระวางขนส่งได้ดังนั้นเมื่อปรากฏว่าหลังจากจำเลยขนสินค้าไปถึงท่าเรือของโจทก์และมีการขนถ่ายสินค้าลงจากเรือจำเลยไปแล้วบางส่วนจำเลยได้มีหนังสือให้โจทก์ชำระค่าขนส่งและค่าเรือเสียเวลาแก่จำเลยแล้วหลายครั้งแต่โจทก์ไม่ยอมชำระจำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงเหล็กพิพาทของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา630 โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งแต่เพียงว่าจำเลยมีสิทธิที่จะยึดหน่วงไว้เพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้นไม่ได้ให้การโดยแจ้งชัดว่าเกินความจำเป็นอย่างไรและศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทฎีกาของโจทก์ที่ว่าเหล็กพิพาทที่จำเลยยึดหน่วงไว้มีราคาสูงเกินกว่าตามที่จำเป็นจะพึงใช้สิทธิยึดหน่วงไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา249วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่โจทก์ฎีกาว่าคดีนี้ปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยขายทอดตลาดเหล็กพิพาทได้เงินมาจำนวน161,000บาทจำเลยได้หักเป็นค่าระวางพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งรวมทั้งค่าเสียหายอื่นๆตามฟ้องแย้งไปรวมเป็นเงิน118,965บาทคงเหลือเงินที่จำเลยนำมาวางศาลจำนวน42,035บาทโจทก์จึงไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยอีกนั้นฎีกาโจทก์ดังกล่าวเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดีซึ่งไม่เป็นเหตุทำให้ศาลฎีกาต้องเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแต่ประการใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2532 จำเลยรับขนส่งแผ่นเหล็กของโจทก์จำนวน 318.88 ตัน ตกลงค่าขนส่งต้นละ 18 บาทจากเกาะสีชัง มายังท่าเรือของโจทก์ที่จังหวัดปทุมธานี จำเลยได้ขนแผ่นเหล็กดังกล่าวมาที่ท่าเรือของโจทก์และขนถ่ายเหล็กจากเรือ 243.861 ตัน ส่วนที่เหลือจำเลยไม่ยอมให้โจทก์ขนขึ้นจากเรือ จำเลยนำเรือของจำเลยไปจากท่าเรือขนถ่ายสินค้าของโจทก์โดยมีเหล็ก 27 แผ่น น้ำหนักประมาณ 75 ตัน ราคา 682,672.90 บาทของโจทก์อยู่ในเรือลำดังกล่าวเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2532จำเลยจะต้องส่งมอบแผ่นเหล็กแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2532ซึ่งหากจำเลยส่งมอบแล้วโจทก์จะขายแผ่นเหล็กได้ทันทีและนำเงินไปชำระหนี้แก่ธนาคารที่โจทก์ขอเปิดเลตเตอร์ออฟเครดิตไว้ซึ่งจะต้องเสียดอกเบี้ยสินเชื่อแก่ธนาคารในอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปีคิดเป็นเงินวันละ 308.60 บาท โจทก์คิดค่าเสียหายถึงวันฟ้องเป็นเวลา 409 วัน เป็นเงิน 126,219.67 บาท ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบแผ่นเหล็กจำนวน 27 แผ่น คืนโจทก์ หากส่งมอบไม่ได้ให้ใช้ราคา 682,672.90 บาท ค่าเสียหาย 126,219.67 บาท แก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นรายวัน วันละ 308.60 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้ครบถ้วน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยขนส่งเศษเหล็กน้ำหนักประมาณ 318.88 ตัน จากท่าเรือกรุงเทพไปส่งที่คลังสินค้าของโจทก์ที่จังหวัดปทุมธานี ในราคาตันละ 18 บาทในการขนส่งนี้เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องขนเหล็กขึ้นจากเรือของจำเลย โดยจะให้เหล็กค้างอยู่ในเรือได้ 3 วัน กรณีที่เหล็กค้างในเรือเกินกว่า 3 วัน โจทก์จะต้องจ่ายค่าเรือเสียเวลาวันละ 6 บาท ต่อสินค้า 1 ตัน เมื่อเรือลำเลียงของจำเลยบรรทุกเหล็กไปส่งแล้ว โจทก์ปล่อยให้เหล็กค้างอยู่ในเรือเกินกว่าเวลาที่กำหนด 32 วัน โจทก์ต้องชำระค่าขนส่งและค่าเรือเสียเวลาแก่จำเลย 66,965 บาท จำเลยแจ้งให้โจทก์ชำระค่าขนส่งและค่าเรือเสียเวลาแก่จำเลยก่อนที่การขนถ่ายเหล็กขึ้นจากเรือจะแล้วเสร็จ แต่โจทก์เพิกเฉย จำเลยจึงใช้สิทธิยึดหน่วงเหล็กตามฟ้องซึ่งเป็นเหล็กจำนวนสุดท้ายไว้เพื่อประกันการใช้เงินค่าระวางพาหนะและอุปกรณ์ ต่อมาจำเลยนำเหล็กดังกล่าวไปฝากเก็บยังคลังสินค้า ต้องเสียค่าขนส่ง ค่าขนเหล็กขึ้นฝากเก็บ ค่าฝากเก็บถึงวันฟ้องแย้งคิดเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 102,965 บาท จำเลยมิได้ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้เสียหายดังฟ้อง ทั้งโจทก์เป็นผู้ก่อให้จำเลยยึดหน่วงทรัพย์นั้นจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อพ้นกำหนดเวลา 1 ปีนับแต่วันที่ควรจะได้มีการส่งมอบทรัพย์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้องและบังคับโจทก์ใช้เงิน 102,965 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ ให้การ แก้ฟ้อง แย้ง ว่า โจทก์ ว่าจ้าง จำเลย ให้ ขนส่งแผ่น เหล็ก ใน ราคา ที่ จำเลย อ้าง ใน คำให้การ และ ตกลง ค่า เรือ เสีย เวลาตาม นั้น จริง แต่ การ ชำระ ค่า ขนส่ง กับ ค่า เรือ เสีย เวลา นั้น มีประเพณี การ ขนส่ง ทางน้ำ ให้ ชำระ เมื่อ มอบ ของ เรียบร้อย แล้วเมื่อ สินค้า ของ โจทก์ ยัง ค้าง อยู่ ใน เรือ จำเลย จึง ยัง ไม่มี สิทธิยึด หน่วง การกระทำ ของ จำเลย เป็น การกระทำ ผิด หน้าที่ ของ ผู้ขนส่งนอกจาก นี้ จำเลย มีสิทธิ ยึด หน่วง เหล็ก ของ โจทก์ ได้ เพียง เท่าที่ จำเป็นเท่านั้น ค่าเสียหาย ต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้น แก่ สินค้า ที่ จำเลยยึด หน่วง ไว้ จำเลย จะ ต้อง เป็น ผู้รับผิดชอบ จำเลย จึง ไม่อาจ เรียกค่าเสียหาย ตาม ฟ้องแย้ง จาก โจทก์ ค่า ขน เหล็ก ขึ้น ฝากเก็บ และ ค่า ฝากเก็บ เหล็ก ไม่มาก เท่าที่ จำเลย เรียกร้อง โจทก์ ฟ้อง เรียก เอา ทรัพย์คืน จึง ไม่อยู่ ใน บังคับ อายุความ 1 ปี ขอให้ ยกฟ้อง แย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ชำระหนี้ 80,565 บาทแก่จำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์จำเป็นต้องทำการตรวจสอบก่อนว่าสินค้าที่ได้ว่าจ้างจำเลยขนส่งนั้นมีจำนวนครบถ้วน น้ำหนักถูกต้องหรือไม่ ถ้าถูกต้องจึงจะชำระเงินค่าว่าจ้างขนส่งให้แก่จำเลยได้ หากสินค้าขาดหายไป โจทก์จะได้ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากบริษัทตรวจสอบและตัวแทนเรือจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบเหล็กพิพาทให้โจทก์ก่อน โจทก์จึงจะชำระค่าขนส่งให้จำเลย ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เสียภาษีศุลกากรตามจำนวนขึ้นและน้ำหนักที่ระบุในใบกำกับสินค้าบริษัทในเครือโจทก์เคยค้างค่าขนส่งจำเลยมาก่อนและสินค้าโจทก์ขนขึ้นจากเรือไปเป็นส่วนมากแล้วคงเหลือเพียง 27 ชิ้น น้ำหนัก75 ตัน เท่านั้น เมื่อโจทก์เคยเสียภาษีตามจำนวนชิ้นและน้ำหนักที่ปรากฏในใบกำกับสินค้า ฉะนั้น ที่โจทก์อ้างว่าต้องชั่งน้ำหนักสินค้าก่อนจึงจะสามารถคำนวณค่าขนส่งได้ จึงขัดกับเหตุผลและทางปฏิบัติของโจทก์เอง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าตามประเพณีการรับขนทางน้ำ จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ครบถ้วนก่อนโจทก์จึงจะชำระค่าขนส่งแก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่โจทก์อ้างว่าประเพณีการขนส่งทางน้ำว่าผู้รับขนส่งต้องส่งมอบสินค้าแก่ผู้ว่าจ้างให้ครบถ้วนก่อน จึงจะมีการชำระค่าจ้างนั้นไม่อาจรับฟังได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการชำระค่าระวางขนส่งระหว่างโจทก์จำเลยนี้ เมื่อสินค้าไปถึงท่าเรือของโจทก์แล้วจำเลยย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระค่าระวางขนส่งได้เมื่อปรากฏว่าหลังจากจำเลยขนสินค้าไปถึงท่าเรือของโจทก์และมีการขนถ่ายสินค้าลงจากเรือจำเลยไปแล้วบางส่วน จำเลยได้มีหนังสือให้โจทก์ชำระค่าขนส่งและค่าเรือเสียเวลาแก่จำเลยแล้วหลายครั้งตามเอกสารหมาย จ.4 จ.6 จ.7 และ จ.9 แต่โจทก์ไม่ยอมชำระ จำเลยจึงมีสิทธิยึดหน่วงเหล็กพิพาทของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 630 โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่าเหล็กพิพาทที่จำเลยยึดหน่วงไว้มีราคาสูงเกินกว่าตามที่จำเป็นที่จำเลยจะพึงใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ ข้อนี้โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งแต่เพียงว่า จำเลยมีสิทธิที่จะยึดหน่วงไว้เพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ได้ให้การโดยแจ้งชัดว่าเกินความจำเป็นอย่างไรและศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์ฎีกาต่อไปว่าจำเลยนำเหล็กออกขายทอดตลาดโดยมิได้บอกกล่าวให้โจทก์ทราบจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ เห็นว่า หากจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะเหตุดังกล่าวประการใด โจทก์ต้องดำเนินการแก่จำเลยต่างหากเพราะเป็นคนละเรื่องกับคดีนี้ ที่โจทก์ฎีกาว่า หากศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์จะต้องรับผิดต่อจำเลย โจทก์ก็คงรับผิดเพียง 51,658.56 บาทเท่านั้น ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกรวม 13,600 บาท จำเลยไม่มีสิทธิเรียกร้องจากโจทก์เพราะเป็นภาระที่จำเลยก่อขึ้นเนื่องจากจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น เห็นว่า เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยมาแล้วว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงเหล็กพิพาทตามกฎหมาย จำเลยย่อมไม่ใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา ที่โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตามคดีนี้ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2534 ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยขายทอดตลาดเหล็กพิพาทได้เงินมาจำนวน161,000 บาท จำเลยได้หักเป็นค่าระวางพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งรวมทั้งค่าเสียหายอื่น ๆ ตามฟ้องแย้งไปรวมเป็นเงิน 118,965 บาทคงเหลือเงินที่จำเลยนำมาวางศาลจำนวน 42,035 บาท โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดต่อจำเลยอีกนั้น เห็นว่า ฎีกาโจทก์ดังกล่าวเป็นปัญหาในชั้นบังคับคดี ซึ่งไม่เป็นเหตุทำให้ศาลฎีกาต้องเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองแต่ประการใด
พิพากษายืน

Share