คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7373/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่1ได้สมคบกับส. ภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสของผู้เสียหายโดยส. เป็นคนเข้าไปในบ้านผู้เสียหายลักเอาโฉนดที่ดินของผู้เสียหายมาให้จำเลยที่1กับพวกนำไปกู้ยืมเงินจากผู้มีชื่อจำเลยที่1กับส. จึงเป็นตัวการร่วมกันลักทรัพย์ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา335(7)แต่ส.เข้าไปลักโฉนดที่ดินของผู้เสียหายจากในบ้านเพียงคนเดียวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของส. ด้วยการกระทำของส. จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา335(8)เมื่อการกระทำของส. ซึ่งเป็นตัวการคนหนึ่งไม่เป็นความผิดดังนั้นจำเลยที่1ซึ่งเป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับส. จึงไม่มีความผิดตามมาตรา335(8)ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 1 คน ได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2534 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันลักเอาโฉนดที่ดินเลขที่ 11755 ของนายสมศักดิ์ แก้วเพ็ชร์ ไปโดยสุจริตและเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2534 กับวันที่ 19 มิถุนายน 2534 เวลากลางวันจำเลยทั้งสามกับพวกได้ร่วมกันนำโฉนดที่ดินเลขที่ดังกล่าวของนายสมศักดิ์ไปแสดงและหลอกลวงนางพเยาว์ ปิ่นแก้ว โดยจำเลยที่ 2 ได้แสดงตนเป็นนายสมศักดิ์เจ้าของโฉนดที่ดินขอกู้เงินจากนางพเยาว์ 2 ครั้ง เป็นเงินครั้งละ 50,000 บาท โดยเอาโฉนดที่ดินดังกล่าวค้ำประกัน นางพเยาว์ยอมให้กู้แล้วจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันทำปลอมขึ้นซึ่งสัญญากู้เงินของนายสมศักดิ์ลงวันที่19 พฤษภาคม 2534 และวันที่ 19 มิถุนายน 2534 โดยจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อปลอมในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ทั้งสองฉบับดังกล่าวว่า”สมศักดิ์ แก้วเพ็ชร์” โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นางพเยาว์กับนายสมศักดิ์ เป็นการกระทำเพื่อให้บุคคลผู้ได้พบเห็นสัญญากู้ฉบับดังกล่าวหลงเชื่อว่านายสมศักดิ์กู้เงินจากนางพเยาว์เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามได้ และยึดได้สัญญากู้2 ฉบับ ดังกล่าวกับโฉนดที่ดินเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 188, 264, 334, 335, 91 คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การปฎิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานปลอมเอกสาร ปฎิเสธฐานลักทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 335(7)(8) วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188,335(7)(8) วรรคสาม ประกอบมาตรา 83, 264 การกระทำผิดฐานเอาเอกสารของผู้อื่นไปและการกระทำผิดฐานลักทรัพย์เป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)(8) วรรคสาม ประกอบมาตรา 83ซึ่งเป็นบทหนัก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 5 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ฐานปลอมเอกสาร 2 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ในชั้นสอบสวนและฐานปลอมเอกสารในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสามและกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี 4 เดือน กระทงหนึ่ง และ 1 ปีอีกกระทงหนึ่งรวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 4 เดือนข้อหาอื่นของจำเลยที่ 1 ที่ 3 นอกจากนี้ให้ยก คืนของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าไม่ได้ร่วมกันกระทำผิดฐานลักทรัพย์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)(8) วรรคสาม ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา 90 จำคุกคนละ 3 ปี และลดโทษให้จำเลยที่ 2หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 2 ปี ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาเพียงข้อเดียวว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(8) หรือไม่ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ได้สมคบกับนางสมพิศ โถน้อย ภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสของผู้เสียหาย โดยนางสมพิศเป็นคนเข้าไปในบ้านผู้เสียหายลักเอาโฉนดที่ดินของผู้เสียหายมาให้จำเลยที่ 1 กับพวกนำไปกู้ยืมเงินจากผู้มีชื่อ จำเลยที่ 1 กับนางสมพิศจึงเป็นตัวการร่วมกันลักทรัพย์ของผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7)นางสมพิศได้ถูกฟ้องฐานร่วมกับพวกลักทรัพย์และความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ศาลพิพากษาลงโทษนางสมพิศคดีถึงที่สุดไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1961/2535 ของศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 1จะมีความผิดตามมาตรา 335(8) ดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาด้วยหรือไม่ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นางสมพิศเข้าไปลักโฉนดที่ดินของผู้เสียหายจากในบ้านเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนางสมพิศด้วย การกระทำของนางสมพิศจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 335(8) แต่เนื่องจากเป็นเหตุส่วนตัวของนางสมพิศจึงนำเหตุดังกล่าวไปใช้แก่จำเลยที่ 1 ด้วยไม่ได้ จำเลยที่ 1 จึงยังคงมีความผิดตามมาตรา 335(7)(8) วรรคสาม เห็นว่า เกี่ยวกับความผิดฐานลักทรัพย์ของนางสมพิศ ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่1961/2535 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นางสมพิศมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในคดีนี้ว่านางสมพิศเข้าไปลักโฉนดที่ดินในบ้านของผู้เสียหายเพียงคนเดียวซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนางสมพิศด้วย การกระทำของนางสมพิศจึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 335 (8) เมื่อการกระทำของนางสมพิศซึ่งเป็นตัวการคนหนึ่งไม่เป็นความผิดดังนั้นจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับนางสมพิศจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 335(8) ด้วย คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(7) วรรคแรก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share