คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3419/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์ที่2เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้ามรดกถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกเป็นทายาทอันดับ1ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1629จำเลยซึ่งเป็นบุตรน้องสาวของเจ้ามรดกเป็นทายาทอันดับ3ย่อมไม่มีสิทธิรับมรดกรายนี้แม้จำเลยจะครอบครองที่ดินมรดกบางแปลงตั้งแต่เจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ก็หาใช่มีส่วนได้เสียโดยตรงในทรัพย์มรดกไม่แม้ศาลได้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแล้วหากปรากฏในภายหลังว่าจำเลยไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกโจทก์ที่2ซึ่งพิสูจน์ฟังได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลยย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียฟ้องหรือร้องขอให้ศาลถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกได้และศาลย่อมมีอำนาจที่จะถอดถอนและสั่งตั้งโจทก์ที่2เป็นผู้จัดการมรดกแทนจำเลยได้ การที่โจทก์ที่2ได้เบิกความชั้นศาลเป็นพยานโจทก์ในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นว่าพินัยกรรมที่โจทก์ในคดีดังกล่าวนำสืบอ้างเป็นพยานในศาลนั้นเป็นพินัยกรรมอันแท้จริงของเจ้ามรดกและต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าพินัยกรรมนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมก็ตามแต่โจทก์ที่2มิได้เป็นผู้ปลอมหรือใช้หรืออ้างพินัยกรรมปลอมนั้นจึงไม่ถือว่าโจทก์ที่2ปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์มรดกอันจะถูกกำจัดมิให้ได้มรดก การร้องขอให้ตั้งผู้จัดการมรดกโจทก์เพียงแต่บรรยายถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์อันจำเป็นและสมควรจะต้องมีผุ้จัดการมรดกเท่านั้นการที่ศาลจะตั้งบุคคลใดเป็นผู้จัดการมรดกย่อมแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกและภายใต้บังคับบทบัญญัติที่ชี้แนวทางให้ศาลปฏิบัติในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1718ไม่จำต้องเป็นบรรยายบทบังคับให้ศาลจำต้องปฏิบัติไว้ในฟ้องด้วย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นบุตรและบุตรบุญธรรมของนายฉ่ำ คงอ่อน เจ้ามรดก จำเลยเป็นหลานของนายฉ่ำ คงอ่อน ศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกโดยจำเลยเบิกความเท็จว่าเจ้ามรดกไม่มีทายาทโดยธรรม จำเลยไม่จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกและยังฟ้องโจทก์ทั้งสองขอให้เพิกถอนสัญญาที่โจทก์ทั้งสองในฐานะทายาทโดยธรรมทำไว้กับบริษัทน้อมมิตร จำกัด ขอให้ศาลถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดก ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับมรดกต่อไป และขอให้ศาลตั้งโจทก์ทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกแทนจำเลย จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ใช่บุตรเจ้ามรดกโจทก์ที่ 2 ไม่มีหลักฐานว่าเป็นบุตรบุญธรรมเจ้ามรดก หากฟังว่าโจทก์ทั้งสองเป็นทายาทโดยธรรม โจทก์ทั้งสองก็ได้ปิดบังทรัพย์มรดกฉ้อฉลทายาทอื่นจึงถูกกำจัดมิให้ได้มรดก จำเลยมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกในฐานะเป็นหลานของเจ้ามรดกและยังครอบครองปรปักษ์ในที่ดินมรดกจนได้กรรมสิทธิ์จำเลยทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่ได้โดยมีเหตุอันสมควรและได้ขอขยายเวลาต่อศาลแล้ว ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ใช่บุตรเจ้ามรดก ไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ที่ 2 เป็นบุตรบุญธรรมมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกมีอำนาจฟ้องแม้จำเลยจะครอบครองที่ดินมรดกไว้ 1 แปลง แต่จำเลยเป็นบุตรน้องสาวของเจ้ามรดกเป็นทายาทอันดับต่ำกว่าโจทก์ที่ 2 ไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกโดยตรงมีเหตุสมควรจะถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการมรดก แต่ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าโจทก์ที่ 2 ไม่เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เป็นผู้จัดการมรดก อันเป็นสาระสำคัญที่จะทำให้ตั้งโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 ให้ถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย คำขออื่นของโจทก์ที่ 2 ให้ยก โจทก์ที่ 2 และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า แม้โจทก์ที่ 2 จะปิดบังทรัพย์มรดกก็เป็นเรื่องของทายาทอื่นผู้มีสิทธิรับมรดกร่วมกับโจทก์ที่ 2 หาเกี่ยวกับจำเลยไม่ เพราะจำเลยไม่ใช่ทายาทไม่มีส่วนได้เสีย ไม่มีสิทธิจัดการทรัพย์มรดก ศาลจะตั้งใครเป็นผู้จัดการมรดกต้องคำนึงถึงหลักทรัพย์เกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ไม่จำต้องบรรยายหลักเกณฑ์นั้นไว้ในคำฟ้อง พิพากษาแก้เป็นว่าให้โจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้ามรดกถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้ามรดกเป็นทายาทอันดับ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1629 จำเลยซึ่งเป็นบุตรน้องสาวของเจ้ามรดกเป็นทายาทอันดับ 3 ย่อมไม่มีสิทธิรับมรดกรายนี้ ถึงจำเลยจะครอบครองที่ดินมรดกบางแปลงตั้งแต่เจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ ก็หาใช่มีส่วนได้เสียโดยตรงในทรัพย์มรดกไม่แม้ศาลได้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกแล้วหากปรากฏในภายหลังว่าจำเลยไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดก และโจทก์ที่ 2 ซึ่งพิสูจน์ฟังได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าจำเลย ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียฟ้องหรือร้องขอให้ศาลถอดถอนจำเลยออกจากากรเป็นผู้จัดการมรดกศาลมีอำนาจที่จะถอดถอนและสั่งตั้งโจทก์ที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกได้ และแม้คดีฟังได้ว่าโจทก์ที่ 2 ได้เบิกความชั้นศาลเป็นพยานโจทก์ในดคีแพ่งของศาลชั้นต้นว่า พินัยกรรมที่โจทก์ในคดีดังกล่าวนำสืบอ้างเป็นพยานในศาลเป็นพินัยกรรมที่แท้จริงของเจ้ามรดกต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าพินัยกรรมนั้นเป็นพินัยกรรมปลอมก็ตาม แต่โจทก์ที่ 2 มิได้เป็นผู้ปลอมหรือใช้หรืออ้างพินัยกรรมปลอมนั้น จึงไม่ถือว่าโจทก์ที่ 2 ปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์มรดก ไม่ถูกกำจัดมิให้ได้มรดกรายนี้ โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมย่อมมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตาย มีสิทธิร้องขอให้ตั้งตนเป็นผู้จัดการมรดกโดยบรรยายถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงและพฤติการณ์อันจำเป็นและสมควรจะต้องมีผู้จัดการมรดกเท่านั้น ส่วนการที่ศาลจะตั้งใครนั้นย่อมแล้วแต่ศาลจะเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่กองมรดก และภายใต้บังคับบทบัญญัติที่ชี้แนวทางใหศาลปฏิบัติในการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1718 ฉะนั้นจึงไม่จำต้องบรรยายบทบังคับใหศาลจำต้องปฏิบัติไว้ในฟ้องด้วย พิพากษายืน

Share