คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2112/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับส.โดยส.มิได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นและได้ออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับลงวันที่ล่วงหน้ามอบให้ส.เพื่อเป็นการชำระราคาส่วนหนึ่งตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้นก่อนเช็คพิพาทถึงกำหนดใช้เงินจำเลยไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือแก่ส.ส.จึงมีหนังสือทวงให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินตามสัญญาทั้งหมดหากไม่ชำระภายในกำหนดจะถือว่าสละสิทธิตามสัญญาทั้งหมดหลังจากนั้นได้มีการตกลงกันระหว่างผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายและได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่สัญญาต่อมาฝ่ายจำเลยมีหนังสือทวงเช็คพิพาทคืนโดยอ้างถึงหนังสือของส.ว่าได้มีการยกเลิกสัญญาจะซื้อขายแล้วส.จึงมีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายมาเป็นครั้งที่สองและขอให้จำเลยนำเงินตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับไปชำระให้ดังนี้เห็นได้ว่าทั้งส.และจำเลยต่างได้ตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวกันแล้วจึงทำให้สัญญาจะซื้อขายเลิกกันและคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมก่อนที่จะมีการทำสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391ส.จึงต้องคืนเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้แก่จำเลยจะยึดถือเช็คไว้หรือเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็คพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ดังนั้นเมื่อส.โอนเช็คพิพาทให้โจทก์โดยกรรมการผู้จัดการของโจทก์เข้าไปเกี่ยวข้องและรับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินระหว่างส.กับจำเลยมาโดยตลอดเป็นลำดับจนกระทั่งมีการตกลงเลิกสัญญากันทำให้เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้และส.ต้องคืนให้จำเลยดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากส.โดยไม่สุจริตและการโอนเช็คระหว่างส.กับโจทก์มีขึ้นโดยคบคิดกันฉ้อฉลโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินตามเช็คจำเลยไม่ต้องรับผิดตามเช็คนั้นต่อโจทก์.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้โจทก์จำเลยเป็นคู่ความรายเดียวกันและศาลพิจารณารวมกันโจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจาจำเลยผู้สั่งจ่ายในสำนวนแรกหนึ่งฉบับ และสำนวนที่สองจำนวนสองฉบับ เงินรวมทั้งสิ้น 4,866,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้บางส่วนตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่จำเลยทำกับนายสมศักดิ์ ประภาศรีสุข ต่อมาจำเลยทราบว่านายสมศักดิ์มิใช่เจ้าของที่ดินที่จะขายให้จำเลยตามสัญญา และเจ้าของที่ดินได้ขายที่ดินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไมตรีเซ็นเตอร์ จำเลยได้บอกเลิกสัญญาและขอเช็คพิพาทคืน โจทก์และนายสมศักดิ์โอนเช็คโดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลย โจทก์ทราบว่าเช็คนั้นไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์ไม่สุจริตและไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินสำนวนแรกจำนวน 2,125,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย และสำนวนหลัง 3,058,264 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยฏีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื่องต้นว่า นายสมศักดิ์ ประภาศรีสุขได้ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่จำเลยในราคา 9,966,000 บาท โดยนายสมศักดิ์มิได้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น สัญญาจะซื้อขายระบุให้ชำระเงินในวันทำสัญญาจำนวนหนึ่งและว่าถ้าผู้จะซื้อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ ผู้จะขายมีสิทธิริบเงินทั้งหลายที่ได้รับมาแล้วจากผู้จะซื้อทั้งหมด จำเลยได้ชำระเงินจำนวน 4,866,000 บาท โดยเช็คพิพาท3 ฉบับเช็ค 2 ฉบับจ่าย “ผู้ถือ” อีกหนึ่งฉบับจ่ายแก่โจทก์ โจทก์ได้เช็คพิพาทมาจากนายสมศักดิ์ โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 16 กันยายน2523 และจำเลยไม่ยอมชำระเงินตามเช็คนั้น พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าสัญญาจะซื้อขายระหว่างนายสมศักดิ์และจำเลยได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2522 จำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับมอบให้นายสมศักดิ์เพื่อเป็นการชำระราคาส่วนหนึ่งตามสัญญาจะซื้อขายนั้น วันที่ 21 มกราคม 2523 นายสมศักดิ์มีหนังสือทวงให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินตามสัญญาทั้งหมดโดยให้เวลาจำเลยจนถึงวันที่ 29 มกราคม 2523 หากไม่ชำระภายในกำหนดจะถือว่าสละสิทธิตามสัญญาทั้งหมด นายสมศักดิ์ทวงให้จำเลยชำระราคาที่ดินดังกล่าวในขณะที่เช็คพิพาททั้งสามฉบับยังไม่ถึงกำหนดชำระเงิน และต่อมาวันที่ 11 มิถุนายน 2523 เจ้าของที่ดินที่ซื้อขายกันได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดไมตรีเซ็นเตอร์ นายต่วนงามประวัติดี กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์เบิกความว่า เมื่อครบกำหนดชำระราคาที่ดินซึ่งจะต้องชำระให้แก่เจ้าของที่ดิน จำเลยไม่สามารถจัดการชำระราคาได้ จึงตกลงกันให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัดไมตรีเซ็นเตอร์ ซึ่งนายสมบูรณ์สุประพฤติ กรรมการคนหนึ่งของบริษัทโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ พยานเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดในห้างดังกล่าวด้วย เมื่อจำเลยชำระราคาที่ดินครบแล้ว จะโอนห้างดังกล่าวให้เป็นของจำเลย ซึ่งที่ดินแปลงนี้อันเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างก็ย่อมโอนตามห้างเป็นของจำเลยด้วย เพื่อเป็นการประหยัดในการเสียค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ จากคำเบิกความข้างต้นแสดงว่าได้มีการตกลงกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่บุคคลภายนอกที่มิใช่คู่สัญญาสำหรับฝ่ายจำเลยนั้น ทนายจำเลยได้มีหนังสือมาถึงนายสมศักดิ์เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม2523 ทวงเช็คพิพาทคืนโดยอ้างถึงหนังสือของนายสมศักดิ์ว่าได้มีการยกเลิกสัญญาจะซื้อขายแล้ว ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2523 ทนายความของนายสมศักดิ์ได้มีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายมาเป็นครั้งที่สองและขอให้จำเลยนำเงินตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับไปชำระให้ภายในเจ็ดวัน จากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ระหว่างนายสมศักดิ์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ประพฤติปฏิบัติต่อกันทั้งหมดดังกล่าวข้างต้น เห็นว่าทั้งนายสมศักดิ์และจำเลยต่างได้ตกลงเลิกสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวกันแล้ว ทำให้สัญญาจะซื้อขายเลิกกัน และคู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมก่อนที่จะมีการทำสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 นายสมศักดิ์จึงต้องคืนเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้แก่จำเลย จะยึดถือเช็คไว้หรือเรียกร้องให้จำเลยใช้เงินตามเช็คพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อนายสมศักดิ์ตามสัญญาจะซื้อขายอีกต่อไป โจทก์โดยนายต่วนได้เข้าไปเกี่ยวข้องและรับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินระหว่างนายสมศักดิ์กับจำเลยมาโดยตลอดเป็นลำดับ จนกระทั่งมีการตกลงเลิกสัญญากันระหว่างคู่สัญญาทำให้เช็คพิพาททั้งสามฉบับไม่มีมูลหนี้และนายสมศักดิ์ต้องคืนให้แก่จำเลยดังวินิจฉัยมาแล้วข้างต้น ดังนั้นจึงถือได้ว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริตและการโอนเช็คระหว่างนายสมศักดิ์กับโจทก์มีขึ้นโดยคบคิดกันฉ้อฉล โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินตามเช็ค จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามเช็คนั้นต่อโจทก์ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน

Share