คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2057/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องจำเลยขอให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายมาก่อนจำเลยให้การต่อสู้ทำนองเดียวกับในคดีนี้ว่าสัญญาจะซื้อขายเป็นโมฆะเพราะเป็นนิติกรรมอำพรางศาลในคดีก่อนพิพากษาถึงที่สุดว่าสัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาที่แท้จริงมิใช่นิติกรรมอำพรางใช้บังคับได้ตามกฎหมายแต่เนื่องจากโจทก์ยังมิได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้จึงบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทไม่ได้พิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่ภายในอายุความเช่นนี้คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามป.วิ.พ.มาตรา145จำเลยจะมาโต้เถียงในคดีนี้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้และจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาอีกหาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยในราคา300,000 บาท จำเลยผิดสัญญา โจทก์ได้ (เคย) ฟ้องบังคับจำเลยให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย แต่โดยที่โจทก์ยังมิได้ปฏิบัติการชำระหนี้แก่จำเลยจึงได้ยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความต่อมาโจทก์ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงนำเงิน 300,000 บาทไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กับแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว ขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ หากการจดทะเบียนไม่อาจทำได้ก็ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 600,000 บาท
จำเลยให้การว่าสัญญาจะซื้อขายเป็นนิติกรรมอำพรางฟ้องบังคับไม่ได้ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเพราะไม่ได้แจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนภายในกำหนดและไม่ได้ชำระค่าที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถานคู่ความรับกันว่า โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องจำเลยขอให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดียวกันนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว จำเลยให้การต่อสู้ทำนองเดียวกับคดีนี้ว่าสัญญาจะซื้อขายเป็นโมฆะ เพราะเป็นนิติกรรมอำพราง ศาลพิพากษาถึงที่สุดตามคดีหมายเลขแดงที่ 772/2524 ของศาลจังหวัดนครราชสีมาว่า สัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาที่แท้จริงตามเจตนาของคู่กรณีใช้บังคับได้ตามกฎหมาย มิใช่นิติกรรมอำพรางแต่โจทก์ยังมิได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้ จึงบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทไม่ได้พิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่ในอายุความ ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ และรับชำระหนี้ที่โจทก์วางไว้ต่อสำนักงานวางทรัพย์หากการจดทะเบียนโอนขายไม่อาจกระทำได้ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 400,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำพิพากษาในคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะมาโต้เถียงในคดีนี้ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้ และจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาอีกหาได้ไม่ ส่วนปัญหาเรื่องค่าเสียหายตามสัญญา เมื่อปรากฎว่าจำเลยผิดสัญญาไม่โอนที่ดินพิพาทให้ตามกำหนดย่อมเกิดความเสียหาย โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายดังกล่าวได้ และที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 400,000 บาท เห็นว่าเหมาะสมแล้ว เมื่อโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยวางเงินคาที่ดินพิพาทจำนวน 3000,000 บาทสำนักงานวางทรัพย์กับแจ้งให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาที่ศาลล่างทั้งสองงดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 2,000 บาท.

Share