คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำเบิกความซัดทอดของผู้มีส่วนร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยเป็นคำพยานที่มีน้ำหนักน้อยโจทก์ต้องมีพยานอื่นประกอบจึงจะฟังลงโทษจำเลยได้ คำให้การของผู้เสียหายและประจักษ์พยานที่ให้ไว้ในชั้นสอบสวนรวมทั้งบันทึกการชี้ตัวจำเลยถือเป็นพยานบอกเล่าเมื่อไม่ได้ตัวผู้เสียหายและประจักษ์พยานมาเบิกความต่อศาลเพราะโจทก์ไม่สามารถติดตามตัวมาได้ย่อมเป็นพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักน้อยเช่นกันแต่เมื่อฟังประกอบกับคำเบิกความซัดทอดของผู้มีส่วนร่วมกระทำผิดและคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนที่จำเลยได้ให้ไว้ด้วยความสมัครใจแล้วหากมีน้ำหนักฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริงก็สามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกรวม 6 คนปล้นเอารถยนต์สองแถว 1 คันของนางสอาด คุ้มพลา ซึ่งอยู่ในความครอบครองของนายโมฬี เพชรเทศผู้ขับขี่ กับปล้นเอานาฬิกาข้อมือ 1 เรือนและไม้ขีดไฟแก๊ส 1 อันของนายโมฬี เพชรเทศ โดยใช้อาวุธปืนและมีดพกปลายแหลมขู่บังคับ แล้วใช้กำลังประทุษร้าย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 340,340 ตรี
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา340 วรรค 2, 83 จำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษหนึ่งในสาม ตามมาตรา 78จำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า …ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุ นายอำนวย ทองเจริญ นางตุ้ม ชุ่มสวัสดิ์ นายปรีชา ทองใบน้อยนายสมศักดิ์ เรืองศิลป์ กับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายไปตามฟ้อง ศาลพิพากษาลงโทษนายอำนวย นางตุ้ม นายปรีชา นายสมศักดิ์ไปแล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ 194/2520 ของศาลชั้นต้น ในชั้นนี้มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยร่วมทำการปล้นทรัพย์กดังกล่าวด้วยหรือไม่ เห็นว่า ในชั้นพิจารณาคดีนี้โจทก์มีพยานมาเบิกความยืนยันความผิดของจำเลยรวม 3 ปากเท่านั้น คือนางตุ้ม ชุ่มสวัสดิ์ นายจวนเอี่ยมสะอาด และพันตำรวจโทวีระ ทิพยวัฒน์ พนักงานสอบสวน ส่วนนายโมฬีผู้เสียหายและนายอนันต์ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ขณะจำเลยกับพวกทำการปล้นทรัพย์ โจทก์ติดตามมาเบิกความเป็นพยานไม่ได้ ตามคำเบิกความของนางตุ้ม นายจวน ได้ความว่าจำเลยเป็นผู้วางแผนให้นางตุ้ม นายอำนวยไปว่าจ้างรถยนต์สองแถวที่นายโมฬีขับให้ไปส่งยังที่เกิดเหตุ จำเลยกับพวกทำการปล้นได้รถยนต์สองแถวและทรัพย์อื่นของนายโมฬีแล้วจำเลยกับพวกนำรถนั้นไปฝากนายจวนไว้ พนักงานสอบสวนได้จับกุมทั้งนางตุ้มนายจวนและพวกกล่าวหาว่าร่วมกับจำเลยปล้นทรัพย์ด้วย ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกนางตุ้มกับพวกแล้ว ดังนี้ นางตุ้ม นายจวน เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกันกับจำเลย คำเบิกความของนางตุ้ม นายจวน เป็นคำซัดทอดของผู้กระทำความผิดด้วยกันมีน้ำหนักน้อย โจทก์ต้องมีพยานอื่นประกอบจึงจะฟังลงโทษจำเลยได้ ส่วนพันตำรวจโทวีระพนักงานสอบสวนเบิกความว่าเป็นผู้สอบสวนนายโมฬี ผู้เสียหาย นายอนันต์และจำเลยไว้ ปรากฏตามเอกสารหมายเลข จ.3 จ.4 จ.10 ตามลำดับ นายโมฬี นายอนันต์ ให้การยืนยันว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้ใช้เชือกมัดนายโมฬี นายอนันต์ไว้กับต้นไม้และปล้นเอารถยนต์สองแถวและทรัพย์อื่นไป ตลอดจนนายโมฬีชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องปรากฏตามบันทึกเอกสารหมาย จ.9 คำให้การของนายโมฬีนายอนันต์ และบันทึกการชี้ตัวจำเลยดังกล่าวเป็นพยานบอกเล่า เมื่อไม่ได้ตัวนายโมฬี นายอนันต์ มาเบิกความจึงมีน้ำหนักน้อยเช่นเดียวกันสำหรับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยซึ่งพันตำรวจโทวีระเบิกความว่าจำเลยรับสารภาพและชี้ที่เกิดเหตุ ให้ถ่ายภาพประกอบคำให้การรับสารภาพปรากฏตามเอกสารหมายเลข จ.10 จ.11 นั้น แม้จำเลยจะนำสืบว่าตำรวจทำร้ายและบังคับให้จำเลยรับสารภาพ จำเลยทนถูกทำร้ายไม่ได้จึงลงชื่อให้โดยไม่ทราบข้อความก็ตาม แต่รายละเอียดที่จำเลยให้การและชี้ที่เกิดเหตุนั้นตรงตามที่นายโมฬีผู้เสียหายและนายอนันต์ให้การไว้แล้วทุกประการ ทั้งยังสอดคล้องกับคำเบิกความของนางตุ้ม นายจวน และคำให้การของนายอำนวย นายปรีชา นายสมศักดิ์ ผู้ร่วมทำการปล้นทรัพย์กับจำเลยด้วย อนึ่ง พันตำรวจโทวีระเบิกความว่า ไม้ขีดไฟเบนซินของกลางซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุนั้น จำเลยก็รับว่าเป็นของจำเลยดังนี้จึงเชื่อได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพและนำชี้ที่เกิดเหตุให้ถ่ายภาพด้วยความสมัครใจและตรงตามความจริง ตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.10 บันทึกไว้ว่า ลงวันที่ 17 สิงหาคม 2519 แต่พันตำรวจโทวีระเบิกความว่ารับตัวจำเลยมาสอบสวนเมื่อวันที่ 18 หรือ 19 สิงหาคม 2519 จำไม่ได้แสดงว่าพนักงานสอบสวนทำคำให้การของจำเลยไว้ก่อนแล้วขู่เข็ญบังคับจำเลยให้ลงชื่อในภายหลังนั้น เห็นว่า พันตำรวจโทวีระเบิกความไว้ชัดเจนแล้วว่าจำวันที่รับตัวจำเลยมาสอบสวนไม่ได้ ทั้งคำเบิกความของพันตำรวจโทวีระดังกล่าวก็ยังฟังไม่ได้ว่าขู่เข็ญบังคับจำเลยให้รับสารภาพ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบข้างต้น เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของพันตำรวจโทวีระ คำให้การของนายโมฬี นายอนันต์ตามเอกสารหมาย จ.3 จ.4 จ.9 และคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.10 จ.11 ประกอบคำเบิกความของนางตุ้ม นายจวนแล้ว คดีมีหลักฐานประกอบกันฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share