คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บรรยายฟ้องว่าเมื่อวันที่20มีนาคม2525เวลากลางวันสมุดบันทึกส่วนตัวของโจทก์ซึ่งมีบัตรประจำตัวเสียภาษีเอกสารต่างๆธนบัตร100บาท1ฉบับสอดอยู่ในสมุดดังกล่าวซึ่งโจทก์วางไว้บนโต๊ะที่โจทก์นั่งทำงานโดยโจทก์ลุกไปจากโต๊ะ พอกลับมาปรากฏว่าทรัพย์ดังกล่าวหายไปต่อมาปรากฏว่าสมุดบันทึกของโจทก์ที่หายไปไปอยู่ที่ศาลอาญาโดยจำเลยที่1ส่งสมุดบันทึกดังกล่าวต่อศาลและบัญชีระบุพยานของจำเลยที่2ในคดีอาญาหมายเลขดำที่3054/2525อ้างสมุดบันทึกส่วนตัวของโจทก์เป็นพยานคำบรรยายฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุยืนยันเลยว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ไปเวลาใดหรือจำเลยรับของโจรเวลาใด ดังนี้เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.อ.มาตรา158(5) คดีราษฎรเป็นโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกาจำเลยยังไม่อยู่ในฐานะเป็นจำเลยเมื่อจำเลยแก้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
ศาลชั้นต้นงดไต่สวนมูลฟ้องและวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามในข้อหาลักทรัพย์ รับของโจร เห็นว่าในข้อหาลักทรัพย์ โจทก์ไม่ได้บรรยายวันเวลาที่หาว่าจำเลยกระทำผิด ไม่มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์บรรยายว่าทรัพย์สินตามฟ้องของโจทก์หายไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2525 เวลากลางวัน ต่อมาทรัพย์ดังกล่าวได้ไปอยู่ที่ศาลอาญา ก็ไม่ทำให้เข้าใจได้ว่าวันเวลาดังกล่าวเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดข้อหาลักทรัพย์ สำหรับข้อหารับของโจรโจทก์ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยรับทรัพย์ของกลางของโจทก์ที่หายไปโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของความผิดฐานนี้ ฟ้องโจทก์ทั้งสองข้อหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยที่ 3 แก้ฎีกาว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกานั้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเพราะจำเลยที่ 3 ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นจำเลย” ส่วนปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้นเห็นว่า “คำฟ้องต้องบรรยายข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายของจำเลยที่โจทก์อ้างว่าเป็นความผิดถ้ามีบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยดังกล่าวต้องยกขึ้นมากล่าวด้วย และการกระทำทั้งหลายของจำเลยดังกล่าวนี้ต้องเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยเป็นประการแรกและจะต้องมีรายละเอียดที่เกี่ยวกับ วันที่ เดือน ปี เวลากลางวันหรือกลางคืน ตำบล อำเภอจังหวัดที่เกิดเหตุ อันเป็นความหมายของเวลาและสถานที่ที่จำเลยกระทำความผิดดังที่โจทก์กล่าวหาเป็นประการที่ 2 จึงจะเป็นฟ้องที่ชอบด้วยบทมาตราดังยกขึ้นกล่าว ซึ่งรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาที่เกิดการกระทำความผิดนั้นหมายความว่าต้องระบุเป็นข้อยืนยันลงไปว่าจำเลยกระทำความผิด วัน เดือน ปีใด เวลากลางวันหรือกลางคืน ถ้าไม่อาจทราบแน่ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดเวลาใดแน่นอนก็ต้องบรรยายยืนยันลงไปว่าระหว่างช่วงเวลาใดถึงเวลาใดจำเลยได้กระทำความผิดดังโจทก์ฟ้อง ถ้ามิได้ยืนยันเวลากระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยก็ไม่อาจทราบได้ว่าถูกโจทก์กล่าวหาว่ากระทำความผิดเวลาใด เป็นการไม่พอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี สำหรับคำฟ้องของโจทก์พอสรุปสาระสำคัญตามคำบรรยายฟ้องได้ความว่า เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2525เวลากลางวัน สมุดบันทึกส่วนตัวของโจทก์ซึ่งมีบัตรประจำตัวเสียภาษีเอกสารต่าง ๆ ธนบัตร 100 บาท 1 ฉบับที่สอดอยู่ในสมุดดังกล่าวซึ่งโจทก์วางไว้บนโต๊ะที่โจทก์นั่งทำงานโดยโจทก์ลุกไปจากโต๊ะ พอกลับมาปรากฏว่าทรัพย์ดังกล่าวหายไป ครั้นแล้วปรากฏว่าสมุดบันทึกของโจทก์ที่หายไปอยู่ที่ศาลอาญาโดยมีหลักฐานหนังสือของจำเลยที่ 1 ลงวันที่1 กันยายน 2525 ส่งสมุดบันทึกดังกล่าวต่อศาลอาญาและบัญชีระบุพยานของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3054/2525 ลงวันที่ 18 สิงหาคม2525 อ้างสมุดบันทึกส่วนตัวของโจทก์เป็นพยานโดยแจ้งว่าสมุดบันทึกนั้นอยู่ที่จำเลยที่ 1 แล้วสรุปว่าตามหลักฐานดังบรรยายฟ้องแสดงว่าสมุดบันทึกส่วนตัวของโจทก์ที่หายไปไปอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสามโดยทุจริต เพราะจำเลยทั้งสามร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ไปโดยทุจริต หรือมิฉะนั้นก็ร่วมกันรับของโจร คำบรรยายฟ้องของโจทก์ในสาระสำคัญดังยกขึ้นกล่าวจะเห็นว่าโจทก์ไม่ได้ระบุยืนยันเลยว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ไปเวลาใด หรือจำเลยรับของโจรเวลาใดตามนัยแห่งความหมายเวลาที่เกิดการกระทำความผิด ดังวินิจฉัยข้างต้นเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) ศาลมีอำนาจพิพากษายกฟ้องตามมาตรา 161 ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share