คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14654-14655/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้อง และศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามนั้นแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง หากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 138 วรรคสอง ซึ่งจำเลยสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมได้ จำเลยก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามยอมนั้น ตามมาตรา 229 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยหาได้อุทธรณ์ไม่ กลับยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอแก้ไขข้อสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมีความมุ่งหมายให้คำพิพากษาตามยอมเสียเปล่าไม่อาจใช้บังคับได้ ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับการขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมอันไม่อาจกระทำได้โดยศาลชั้นต้น แม้จำเลยจะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความก็หาใช่เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมตามข้อยกเว้นของมาตรา 138 วรรคสอง ที่จำเลยจะอุทธรณ์ได้ไม่ อีกทั้งต่อมาศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งเห็นพ้องด้วยในผลกับศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลย และปัญหาดังกล่าวได้ยุติไปแล้วโดยศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยคำพิพากษาคดีนี้จึงเป็นที่สุดแล้ว ปัญหาข้อโต้แย้งด้วยวิธีต่าง ๆ ของจำเลย หาได้ทำให้คำพิพากษาตามยอมซึ่งเป็นที่สุดไปแล้วกลับมาไม่เป็นที่สุดตามที่จำเลยเข้าใจแต่อย่างใดไม่
เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาและขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมจำเลยซึ่งจงใจไม่ปฏิบัติตามหมายบังคับคดีได้ ทั้งเมื่อคำพิพากษาตามยอมเป็นที่สุดและไม่อาจถูกเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้อีก กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีกับจัดให้มีวิธีคุ้มครองชั่วคราวโดยระงับการออกหมายจับจำเลยและบริวารไว้ก่อนตามคำร้องของจำเลย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 โดยโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าหรือนำออกให้เช่าช่วงและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1740 ตำบลห้วยขวาง อำเภอห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 2 ไร่ 93 ตารางวา และที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1812 ตำบลห้วยขวาง อำเภอห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ประมาณ 15 ตารางวา (เฉพาะในส่วนของอาคารสำนักงานของจำเลยที่ปลูกสร้างเดิมอยู่แล้ว โดยให้จำเลยเข้าออกทางด้านที่ดินโฉนดเลขที่ 1740) มีกำหนดระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 และจำเลยตกลงชำระค่าตอบแทนให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2550 ในอัตราเดือนละ 150,000 บาท นับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2550 ถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 ในอัตราเดือนละ 160,000 บาท และนับแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 ถึงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ในอัตราเดือนละ 170,000 บาท ทุกวันที่ 13 ของเดือน โดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของโจทก์ ชำระงวดแรกในวันที่ 13 ธันวาคม 2549 หากจำเลยผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดและยินยอมให้โจทก์บังคับคดีให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้ทันที อีกทั้งจำเลยยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินที่ค้างชำระ และยินยอมให้บรรดาอาคารโรงเรือน ที่พัก สำนักงาน ตลอดจนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินทั้งสองแปลงเป็นของโจทก์ แต่หากโจทก์ผิดนัดไม่ส่งมอบพื้นที่ให้แก่จำเลยภายในเวลาที่กำหนด ยินยอมให้จำเลยคิดค่าปรับในอัตราเดียวกันกับค่าตอบแทนที่จำเลยต้องชำระให้แก่โจทก์ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาเช่า 3 ปี แล้วจำเลยไม่ผิดนัดชำระค่าตอบแทน จำเลยมีสิทธิรื้อถอนบรรดาอาคาร โรงเรือน ที่พักสำนักงาน ตลอดจนสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยปลูกสร้างในที่ดินทั้งสองแปลงออกไปได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลาเช่า ถ้ารื้อถอนไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้บรรดาสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลืออยู่ตกเป็นของโจทก์ และให้ถือว่าบุคคลภายนอกที่เช่าช่วงที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจากจำเลยเป็นบริวารของจำเลย หากจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความให้โจทก์บังคับคดีแก่บุคคลเหล่านั้นเช่นเดียวกับจำเลย จำเลยตกลงถอนฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.2533/2549 ของศาลอาญา ภายใน 7 วันและบรรดาข้อพิพาททั้งคดีแพ่งและคดีอาญาที่เป็นความผิดต่อส่วนตัวระหว่างโจทก์กับจำเลยที่เกิดก่อนวันทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ต่างไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความให้เป็นพับ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ วันที่ 14 กันยายน 2552 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ออกหนังสือรับรองคดีถึงที่สุดและตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำขอของโจทก์
ต่อมาวันที่ 18 กันยายน 2552 จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 17 กันยายน 2552 ขอให้งดการบังคับคดีโดยจำเลยได้วางหลักประกันไว้แล้ว และเกินมูลหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2552 ว่า ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง หากประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ให้ทำเป็นอุทธรณ์ให้ถูกต้องมายื่นใหม่
จำเลยอุทธรณ์
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับไว้ก่อน จนกว่าศาลอุทธรณ์หรือศาลสูงจะมีคำสั่งกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือจนกว่าจะทราบผลการทูลเกล้าถวายฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 ว่า ไม่มีเหตุให้ทุเลาการบังคับ ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
วันที่ 24 ธันวาคม 2552 จำเลยยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งคุ้มครองจำเลยและบริวารโดยระงับการออกหมายจับจำเลยบริวาร และงดการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลสูงจะมีคำพิพากษาหรือประธานองคมตรีจะมีคำสั่งในเรื่องที่จำเลยร้องเรียนขอความเป็นธรรม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2552 ว่า ไม่มีเหตุคุ้มครองชั่วคราวตามคำร้องนี้ ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวรวมกันแล้ว พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 โจทก์และจำเลยได้ขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นพิจารณาเห็นว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นในวันดังกล่าว ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมวันที่ 7 ตุลาคม 2552 จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดี วันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 จำเลยยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีและวันที่ 24 ธันวาคม 2552 จำเลยยื่นคำร้องขอจัดให้มีวิธีคุ้มครองชั่วคราวโดยมีคำสั่งระงับการออกหมายจับจำเลยโดยเหตุจงใจขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมและให้งดการบังคบคดีไว้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า กรณีมีเหตุสมควรที่จะสั่งให้งดการบังคับคดีกับจัดให้มีวิธีคุ้มครองชั่วคราวโดยระงับการออกหมายจับจำเลยและบริวารไว้ก่อน ตามคำร้องของจำเลยฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2552 และฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2552 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้อง และศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามนั้นแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง หากจำเลยเห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 138 วรรคสอง ซึ่งจำเลยสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมได้ จำเลยก็ต้องอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามยอมนั้น ตามมาตรา 229 วรรคหนึ่ง แต่จำเลยหาได้อุทธรณ์ไม่ กลับยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอแก้ไขข้อสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมีความมุ่งหมายให้คำพิพากษาตามยอมเสียเปล่าไม่อาจใช้บังคับได้ ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับการขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมอันไม่อาจกระทำได้โดยศาลชั้นต้น แม้จำเลยจะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความก็หาใช่เป็นการอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมตามข้อยกเว้นของมาตรา 138 วรรคสอง ที่จำเลยจะอุทธรณ์ได้ไม่ อีกทั้งต่อมาศาลอุทธรณ์ก็มีคำสั่งเห็นพ้องด้วยในผลกับศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องของจำเลย และปัญหาดังกล่าวได้ยุติไปแล้วโดยศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยคำพิพากษาคดีนี้จึงเป็นที่สุดแล้ว ปัญหาข้อโต้แย้งด้วยวิธีต่าง ๆ ของจำเลย หาได้ทำให้คำพิพากษาตามยอมซึ่งเป็นที่สุดไปแล้วกลับมาไม่เป็นที่สุดตามที่จำเลยเข้าใจแต่อย่างใดไม่ ดังที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้ว ดังนั้น เมื่อจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษามิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาและขอให้ศาลมีคำสั่งจับกุมจำเลยซึ่งจงใจไม่ปฏิบัติตามหมายบังคับคดีได้ ทั้งเมื่อคำพิพากษาตามยอมเป็นที่สุดและไม่อาจถูกเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้อีกกรณีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะมีคำสั่งให้งดการบังคับคดีกับจัดให้มีวิธีคุ้มครองชั่วคราวโดยระงับการออกหมายจับจำเลยและบริวารไว้ก่อนตามคำร้องของจำเลยแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า มีเหตุสมควรให้ทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไว้ตามคำร้องของจำเลยลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 หรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีนี้ได้เป็นที่สุดไปแล้ว จำเลยย่อมไม่อาจกล่าวอ้างว่าผลของคดีอาจเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากคดียังไม่เป็นที่สุดรวมตลอดทั้งคดียังอยู่ระหว่างรอการสั่งการของผู้มีอำนาจบารมีอย่างสูงในกระบวนการยุติธรรมควบคู่กับกระบวนการทางศาลขึ้นมาเป็นเหตุสมควรให้มีการทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share