แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินรางวัลประจำปี ประจำปีงบประมาณ 2551 ที่โจทก์ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ่ายแก่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานเทศบาลในสังกัดของโจทก์ ไม่ใช่เงินตอบแทนอื่น ๆ อันเป็นรายจ่ายตาม พ.ร.บ.เทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 67 (3) จึงเป็นการจ่ายนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนด ไม่อาจกระทำได้ จำเลยไม่อาจอ้างสิทธิในเงินนั้นและต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์
การที่มีการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการกำหนดเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษอันมีลักษณะเป็นเงินรางวัลประจำปีแก่พนักงานส่วนท้องถิ่นให้เป็นรายจ่ายอื่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2557 ภายหลังจากที่โจทก์จ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษแก่จำเลยไปแล้ว แสดงว่ากระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลโจทก์ยอมรับว่าการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษได้ต้องออกเป็นระเบียบกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้เงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษเป็นรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นรายจ่ายตามมาตรา 67 (9) มิใช่รายจ่ายตามมาตรา 67 (3)
ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการกำหนดเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษอันมีลักษณะเป็นเงินรางวัลประจำปีแก่พนักงานส่วนท้องถิ่นให้เป็นรายจ่ายอื่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2557 ข้อ 7 กำหนดให้การจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษอันมีลักษณะเป็นเงินรางวัลประจำปีตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ประกาศคณะกรรมการกลาง ประกาศคณะกรรมการจังหวัด หรือหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทย และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นรายจ่ายที่จ่ายได้ตามระเบียบนี้ ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลเป็นการรับรองว่าการจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษที่ได้กระทำไปก่อนระเบียบดังกล่าวใช้บังคับเป็นไปโดยชอบ
ประกาศคณะกรรมการต่าง ๆ และหนังสือสั่งการอื่น ๆ ไม่ใช่กฎหมายที่กำหนดให้เงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษเป็นรายจ่ายที่โจทก์สามารถจ่ายได้ จำเลยจึงนำมาอ้างเพื่อแสดงว่าการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นไปโดยชอบหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีทั้งแปดสำนวนนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 672/2557 และ 673/2557 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีทั้งแปดสำนวนนี้ โดยศาลชั้นต้นเรียกโจทก์ทั้งแปดสำนวนว่า โจทก์ และเรียกจำเลยทั้งแปดสำนวนนี้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ตามลำดับ
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งแปดสำนวนและแก้ไขคำฟ้องสำนวนที่สามขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ชำระเงิน 78,067.86 บาท 62,226.06 บาท 43,610.70 บาท 66,806.86 บาท 101,922.78 บาท 66,787.99 บาท 35,091.89 บาท และ 15,922.46 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ชำระเงิน 74,501 บาท 59,383 บาท 41,610 บาท 63,742 บาท 97,266 บาท 63,740 บาท 33,482 บาท และ 15,192 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 เมษายน 2556 สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 8 ถึงที่ 10 นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2556 สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความสำนวนละ 3,000 บาท
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่าจำเลยที่ 3 ที่ 9 และที่ 10 มีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลทั้งแปดสำนวนให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกาทั้งแปดสำนวน โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อปี 2551 โจทก์ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษ (เงินรางวัลประจำปี 2551) ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ซึ่งเป็นพนักงานเทศบาลในสังกัดของโจทก์ไปเป็นจำนวนเงินตามฟ้องทั้งแปดสำนวน ต่อมาสำนักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดขอนแก่นแจ้งให้โจทก์นำเงินดังกล่าวส่งคืนคลังของโจทก์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบข้อหารือของกระทรวงมหาดไทยว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่อาจจ่ายเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการดังกล่าวได้ โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ให้คืนเงินที่ได้รับไปภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556 จำเลยที่ 8 ถึงที่ 10 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 เพิกเฉย หลังจากนั้นได้มีการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการกำหนดเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษอันมีลักษณะเป็นเงินรางวัลประจำปีแก่พนักงานส่วนท้องถิ่นให้เป็นรายจ่ายอื่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2557 มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ต้องคืนเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษที่ได้รับไปแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีฐานะเป็นเทศบาลมีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 67 บัญญัติว่า เทศบาลอาจมีรายจ่ายดังต่อไปนี้ (1) เงินเดือน (2) ค่าจ้าง (3) เงินตอบแทนอื่น ๆ (4) ค่าใช้สอย (5) ค่าวัสดุ (6) ค่าครุภัณฑ์ (7) ค่าที่ดิน สิ่งก่อสร้าง และทรัพย์สินอื่น ๆ (8) เงินอุดหนุน (9) รายจ่ายอื่นใดตามข้อผูกพันหรือตามที่มีกฎหมายหรือระเบียบของกระทรวงมหาดไทยกำหนดไว้ ตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ปรากฏรายจ่ายที่เป็นเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษ การจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษจึงเป็นเรื่องนอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดซึ่งไม่อาจกระทำได้ เมื่อการจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษเป็นไปโดยไม่ชอบ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 จึงไม่อาจอ้างสิทธิในเงินนั้นและต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 แก้ฎีกาว่า พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 67 (3) บัญญัติให้เทศบาลอาจมีรายจ่ายเป็นเงินตอบแทนอื่น ๆ ได้ อันมีความหมายรวมถึงเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ไม่ได้นำสืบว่าเหตุใดรายจ่ายที่เป็นเงินตอบแทนอื่น ๆ ตามมาตรา 67 (3) จึงครอบคลุมถึงเงินประโยชน์ตอบแทนเป็นกรณีพิเศษด้วย ทั้งการที่มีการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการกำหนดเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษอันมีลักษณะเป็นเงินรางวัลประจำปีแก่พนักงานส่วนท้องถิ่นให้เป็นรายจ่ายอื่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2557 ภายหลังจากที่โจทก์จ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ไปแล้ว แสดงว่ากระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลโจทก์ยอมรับว่าการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษได้ ต้องออกเป็นระเบียบกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้เงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษเป็นรายจ่ายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งกรณีของโจทก์ก็จะเป็นรายจ่ายที่ชอบด้วยมาตรา 67 (9) ข้ออ้างว่าเงินตอบแทนอื่น ๆ ตามมาตรา 67 (3) รวมถึงเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษด้วย จึงไม่อาจรับฟังได้ ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 แก้ฎีกาว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการกำหนดเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษอันมีลักษณะเป็นเงินรางวัลประจำปีแก่พนักงานส่วนท้องถิ่นให้เป็นรายจ่ายอื่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2557 ข้อ 7 กำหนดให้การจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษอันมีลักษณะเป็นเงินรางวัลประจำปีตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ประกาศคณะกรรมการกลาง ประกาศคณะกรรมการจังหวัด หรือหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทย และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้ถือว่าเป็นรายจ่ายที่จ่ายได้ตามระเบียบนี้ จึงไม่ต้องมีการคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์นั้น เห็นว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลเป็นการรับรองว่าการจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษที่ได้กระทำไปก่อนระเบียบดังกล่าวใช้บังคับเป็นไปโดยชอบ ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 แก้ฎีกาว่า การจ่ายเงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่ออกในปี 2547 ประกาศคณะกรรมการต่าง ๆ และหนังสือสั่งการอื่น ๆ ด้วยนั้น เห็นว่า ระเบียบ ประกาศ และหนังสือสั่งการดังกล่าวไม่ใช่กฎหมายที่กำหนดให้เงินประโยชน์ตอบแทนอื่นเป็นกรณีพิเศษเป็นรายจ่ายที่โจทก์สามารถจ่ายได้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 จึงนำมาอ้างเพื่อแสดงว่าการจ่ายเงินดังกล่าวเป็นไปโดยชอบหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ในส่วนของดอกเบี้ย ได้ความดังกล่าวข้างต้นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556 จำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 8 ถึงที่ 10 ได้รับหนังสือทวงถามเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2556 จึงครบกำหนดชำระตามหนังสือทวงถามสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 วันที่ 25 เมษายน 2556 สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 8 ถึงที่ 10 วันที่ 24 เมษายน 2556 เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ไม่ชำระ วันผิดนัดย่อมเริ่มนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดชำระเงิน จึงต้องคิดดอกเบี้ยสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2556 สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 8 ถึงที่ 10 นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2556
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10 ชำระเงิน 74,501 บาท 59,383 บาท 41,610 บาท 63,742 บาท 97,266 บาท 63,724 บาท 33,482 บาท และ 15,192 บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 นับแต่วันที่ 26 เมษายน 2556 สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และที่ 8 ถึงที่ 10 นับแต่วันที่ 25 เมษายน 2556 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 13 ธันวาคม 2556) ต้องไม่เกินกว่าที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ