แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินค่าก่อสร้างซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องทำตามสัญญาแต่จำเลยไม่ทำ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำแทน แต่โจทก์บรรยายว่าจำเลยได้ละทิ้งงานก่อสร้างไปโดยงานก่อสร้างยังไม่เสร็จอยู่ 28 รายการ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยมาทำการก่อสร้างให้เสร็จ จำเลยมาก่อสร้างให้เพียง 7 รายการ ยังเหลืออยู่อีก 21 รายการ ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่า งานที่จำเลยยังทำไม่เสร็จ 28 รายการนั้นคือรายการใดบ้าง มาทำเสร็จไปอีก 7 รายการ คือรายการใดบ้าง และยังค้างอยู่ 21 รายการ อันจำเลยจะต้องรับผิดในการที่โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำนั้นคือรายการใด แม้โจทก์จะได้กล่าวไว้ว่าโจทก์จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณา ก็ไม่ช่วยให้คำบรรยายฟ้องแจ้งชัดขึ้น คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชดใช้เงินที่จำเลยกระทำการก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญา โดยบรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยก่อสร้างไม่เสร็จภายใน 300 วันตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายน 2516 หากจำเลยทำงานไม่เสร็จภายในกำหนด ยอมให้โจทก์ปรับวันละ 500 บาท คำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องเรียกเบี้ยปรับในกรณีที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา เพียงแต่บรรยายว่าจำเลยไม่กระทำการก่อสร้างให้เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญาก็แจ้งชัดพอแล้ว แม้จะไม่มีรายละเอียดการก่อสร้างที่อ้างว่าทำไม่เสร็จ ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้โจทก์จำเลยเป็นบุคคลเดียว โจทก์ฟ้องโดยอ้างอาศัยสัญญาฉบับเดียวกัน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาจ้างจำเลยทำการก่อสร้างตึกอาคารสามชั้นครึ่ง โดยจำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างสัญญาว่าจะวัสดุสัมภาระที่มีคุณภาพดีและช่างฝีมือดีเพื่อประกอบการก่อสร้างตามรายละเอียด รูปแบบรายการแนบท้ายสัญญาทุกประการ ต่อมาจำเลยได้ละทิ้งงานก่อสร้างของโจทก์ไป โดยที่งานก่อสร้างยังไม่เสร็จสิ้นตามสัญญา โจทก์ได้ให้นายประเสริฐช่างผู้ออกแบบแปลนมาทำการตรวจสอบส่วนบกพร่องที่จำเลยยังสร้างไม่เสร็จตามแบบแปลนก่อสร้างตามสัญญาจ้างรวม ๒๘ รายการ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยมาทำการก่อสร้างให้เสร็จสิ้นไป แต่จำเลยได้มาก่อสร้างเสร็จไปเพียงบางรายการ โจทก์และนายประเสริฐได้ทำการบันทึกตรวจสอบดูเห็นว่าจำเลยได้ให้ลูกจ้างมาจัดทำเสร็จไปเพียง ๗ รายการ ยังคงเหลืออยู่อีกรวม ๒๑ รายการ (ซึ่งโจทก์จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป) เมื่อจำเลยไม่ยอมมาทำการก่อสร้างต่อไปให้เสร็จสิ้นตามสัญญา โจทก์จึงให้ช่างทำบันทึกไว้เป็นหลักฐาน และให้ช่างอื่นมาทำการก่อสร้างแทนต่อไปจนเสร็จการ แต่ก่อนที่โจทก์จะจ้างช่างอื่นมาทำการก่อสร้าง โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบหลายครั้งหลายหน จำเลยไม่ยอมมาทำจึงได้จ้างช่างอื่นดังกล่าวแล้ว สิ้นค่าจ้างเป็นจำนวนเงิน ๓๘,๕๐๐ บาท โจทก์ได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานส่วนหนึ่ง กับโจทก์ได้ให้ช่างอื่นมาทำมุ้งลวดโดยรวมค่าสิ่งของวัสดุ ค่าฝีมือ ค่าแรงงาน ทั้งหมดเป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท รายการจ้างดังกล่าวนี้ โจทก์มีหลักฐานในการว่าจ้างซึ่งจะนำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป การใช้เงินเพื่อทำการก่อสร้างซึ่งจำเลยจะต้องกระทำตามสัญญา แต่จำเลยไม่ได้กระทำการก่อสร้างให้เสร็จสิ้นตามสัญญาดังกล่าวรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๖,๕๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน ๔๖,๕๐๐ บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๖ โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาว่าจ้างจำเลยให้เป็นผู้ทำการก่อสร้างตึกอาคารสามชั้นครึ่ง โดยจำเลยซึ่งเป็นผู้รับจ้างสัญญาว่าจะจัดหาวัสดุสัมภาระที่มีคุณภาพดีและช่างฝีมือดีมาเพื่อประกอบการก่อสร้างตามรายละเอียดรูปแบบรายการแนบท้ายสัญญาทุกประการปรากฏตามสำเนาสัญญาว่าจ้างท้ายฟ้อง ตามสัญญาข้อ ๒ จำเลยสัญญาว่าจะทำการก่อสร้างงานรับจ้างให้แล้วเสร็จภายในเวลา ๓๐๐ วัน นับแต่วันเซ็นสัญญา ซึ่งจะครบกำหนดภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๑๖ หากจำเลยทำงานนี้ไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดหรือล่วงเวลา จำเลยยอมให้โจทก์ปรับรายวันวันละ ๕๐๐ บาท เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วปรากฏว่างานที่จำเลยก่อสร้างยังไม่เสร็จสิ้นตามสัญญา จำเลยกลับละทิ้งงานก่อสร้างของโจทก์ โจทก์ได้ทวงถามและชี้แจงให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษรหลายครั้งหลายหน เพื่อให้จำเลยทำงานที่ค้างอยู่ต่อไปให้แล้วเสร็จ จำเลยก็บิดพลิ้วไม่ยอมมาทำการก่อสร้างต่อไปอีก โจทก์จำเป็นต้องหาช่างใหม่มาทำการก่อสร้างต่อ ถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาจ้างข้อ ๒ ต้องชำระค่าปรับให้โจทก์วันละ ๕๐๐ บาท นับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนกระทั่งถึงวันที่โจทก์ทำสัญญาจ้างช่างใหม่มาทำการก่อสร้างต่อ คือวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๑๖ รวมเวลา ๘๐ วัน เป็นเงินค่าปรับทั้งสิ้น ๔๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงิน ๔๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยเจ็ดครึ่งต่อปีในจำนวนเงินดังกล่าวตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การต่อสู้คดีทั้งสองสำนวนว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่มีรายละเอียดการก่อสร้างที่อ้างว่าจำเลยก่อสร้างไม่เสร็จ ไม่พอที่จำเลยจะเข้าใจได้ ทำให้จำเลยหลงในข้อต่อสู้ ไม่อาจให้การแก่คดีหมดสิ้นทุกกระบวนความได้ และต่อสู้ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดในเหตุอื่นๆ อีก ตลอดจนฟ้องแย้งเรียกค่าก่อสร้างที่ค้างจากโจทก์ในสำนวนแรกด้วย
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองของสำนวนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป และเมื่อคำฟ้องเดิมเคลือบคลุม คำฟ้องแย้งของจำเลยก็ต้องตกไปด้วย พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนและยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
วินิจฉัยว่าสำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินค่าก่อสร้างซึ่งเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องกระทำตามสัญญา แต่จำเลยไม่กระทำ เป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมากระทำแทน คำฟ้องของโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาคือสัญญาจ้างและคำขอบังคับ คือจำนวนเงินที่ขอให้บังคับจำเลยชำระแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่ามีข้อความไม่แจ้งชัด กล่าวคือ โจทก์บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยได้ละทิ้งงานก่อสร้างไปโดยงานก่อสร้างยังไม่เสร็จสิ้น ๒๘ รายการ นั้นคือรายการใดบ้าง จำเลยมาทำเสร็จไปอีก ๗ รายการคือรายการใด และที่ยังคงค้างอยู่ ๒๑ รายการนั้นคือรายการใด อันจำเลยจะต้องรับผิดในการที่โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำการก่อสร้างข้อความที่โจทก์กล่าวในวงเล็บว่า ซึ่งโจทก์จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป ไม่ช่วยให้คำบรรยายฟ้องแจ้งชัดขึ้น คำฟ้องของโจทก์จึงมีข้อความไม่แจ้งชัด ตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ บังคับไว้ เป็นฟ้องเคลือบคลุม
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินที่จำเลยกระทำการก่อสร้างไม่เสร็จภายในกำหนดแห่งสัญญา โจทก์ได้บรรยายคำฟ้องแสดงโดยแจ้งชัดแล้วว่า สภาพแห่งข้อหาคือสัญญาจ้างตามสำเนาท้ายคำฟ้อง คำขอให้บังคับคือจำนวนเงินที่ขอให้บังคับจำเลยชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาคือ จำเลยก่อสร้างไม่เสร็จสิ้นภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ ๒ ซึ่งมีความว่าจำเลยจะทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐๐ วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๑๖ หากจำเลยทำงานไม่สำเร็จภายในกำหนดยอมให้โจทก์ปรับวันละ ๕๐๐ บาท คำฟ้องดังกล่าวเป็นเรื่องเรียกเบี้ยปรับในกรณีที่จำเลยผู้เป็นลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาก็แจ้งชัดพอแล้ว ผิดกับคำฟ้องสำนวนแรกอันเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในการที่โจทก์ต้องไปจ้างบุคคลอื่นมาทำการก่อสร้างแทนจำเลยซึ่งโจทก์จำต้องบรรยายว่างานที่จำเลยทำไม่เสร็จเป็นเหตุให้โจทก์ต้องจ้างบุคคลอื่นกระทำแทนนั้นคืองานอะไร มิฉะนั้นก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าจำเลยจะต้องรับผิดเพียงใด คำฟ้องในสำนวนหลังมีข้อความครบถ้วนถูกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ แล้วไม่เคลือบคลุม โจทก์ฎีกาขอให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี แต่ศาลล่างยังมิได้วินิจฉัยประเด็นอื่นอันจะพึงชี้ขาดว่าโจทก์ควรจะชนะคดีหรือไม่ สมควรที่จะให้มีการวินิจฉัยชี้ขาดตามลำดับชั้นของศาล
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองเฉพาะคดีสำนวนหลังคือคดีหมายเลขแดงที่ ๖๖/๒๕๑๗ ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการพิพากษาใหม่ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลสำหรับสำนวนนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่คดีสำนวนแรกพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ