คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081-1082/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 ที่ 2 รู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทกับจำเลยที่ 2 มาก่อน มีเจตนาขัดขวางการโอนที่ดินแปลงพิพาท ด้วยวิธีขออายัดและฟ้องศาล โดยมีคำขอให้ห้ามชั่วคราวมิให้มีการทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาท ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงเป็นการร่วมกันจงใจกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 เพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ยังมิได้จดทะเบียนเพื่อให้การซื้อขายสมบูรณ์ และมิได้ส่งมอบที่ดินให้จำเลยที่ 2 เข้าครอบครอง จำเลยที่ 1 คงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ จำเลยที่ 2 จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะขับไล่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของโจทก์ที่ 2 ให้ออกไปจากที่พิพาทได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยให้เรียกโจทก์ที่ ๑ ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ ๓ ในสำนวนที่สองว่าโจทก์ที่ ๑ ให้เรียกโจทก์ที่ ๒ ในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ ๒ ในสำนวนที่สองว่าโจทก์ที่ ๒ ให้เรียกจำเลยในสำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยที่ ๑ ในสำนวนที่สองว่าจำเลยที่ ๑ และเรียกผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมในสำนวนแรกและเป็นโจทก์ในสำนวนที่สองว่าจำเลยที่ ๒
สำนวนแรก โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ เป็นเจ้าของที่ดินโจทก์ที่สองปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ทำกลฉ้อฉลหลอกลวงเอาโฉนดที่ดินจากโจทก์ที่ ๑ ไปว่าจะไปจำนองเอาเงินมาค้าขาย แต่กลับเอาไปโอนขายให้แก่จำเลยที่ ๑ เอง ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนขายดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ ๒ เข้าเป็นจำเลยร่วม
สำนวนที่สอง จำเลยที่ ๒ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ และโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ว่า จำเลยที่ ๒ ได้ตกลงซื้อที่ดินแปลงพิพาทจากโจทก์ที่ ๒ แต่ที่พิพาทมีชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของ จึงได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเป็นค่าซื้อที่ดินให้จำเลยที่ ๑ ไปแล้ว ๔๕๐,๐๐๐ บาท ระหว่างการซื้อขาย โจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ ใช้สิทธิไม่สุจริตขัดขวางไม่ให้จำเลยที่ ๒ ได้รับการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ โดยได้ขออายัดและฟ้องร้องคดีโดยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามจำหน่ายจ่ายโอนที่พิพาท ทำให้จำเลยที่ ๒ เสียหาย จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ไปโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้จำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ และโจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายและออกจากที่พิพาท
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่เคยตกลงซื้อที่ดินแปลงพิพาทกับโจทก์ โจทก์ไม่เคยทราบการซื้อขายที่ดินแปลงพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ หลอกลวงให้โจทก์ที่ ๑ สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม จำเลยที่ ๑ จึงมีเชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาท โจทก์ได้ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมแล้ว ไม่ได้ละเมิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาทให้จำเลยที่ ๒ ให้จำเลยที่ ๑ และโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ พร้อมทั้งบริวารออกจากที่ดินแปลงพิพาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์ในสำนวนแรกและจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ในสำนวนที่สอง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๒ เดือนละ ๔,๖๘๗ บาท ๕๐ สตางค์ นับแต่วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๘ เป็นต้นไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาทั้งสองจำนวน
ระหว่างฎีกา นายสอน ตั้งจิตนุสรณ์ จำเลยที่ ๒ ถึงแก่กรรม นางจิตรา ตั้งจิตนุสรณ์ เข้าเป็นคู่ความแทนที่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ รู้เห็นในการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทกับจำเลยที่ ๒ มาก่อน โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ มีเจตนาขัดขวางการโอนที่ดินแปลงพิพาท ด้วยพิธีขออายัด และฟ้องศาล โดยมีคำขอให้ห้ามชั่วคราว มิให้มีการทำนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาท ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงเป็นการร่วมกันจงใจกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ ๒
ที่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาว่าศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ออกจากที่ดินโฉนดพิพาทเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ ๒ เพียงแต่ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงพิพาทกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ยังมิได้จดทะเบียนเพื่อให้การซื้อขายสมบูรณ์ และมิได้ส่งมอบที่ดินให้จำเลยที่ ๒ เข้าครอบครอง จำเลยที่ ๑ คงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่ จำเลยที่ ๒ จึงยังไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะขับไล่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านของโจทก์ที่ ๒ ให้ออกไปจากที่พิพาท ฎีกาของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และตามประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ รับผิดชดใช้ค่าเสียหายฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่าโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคำขอของจำเลยที่ ๒ ที่ให้โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ออกจากที่ดินให้ยกเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share