แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช่าห้องที่ตั้งอยู่ในทำเลการค้า แม้ในชั้นแรกเช่าโดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยก็ดี แต่การเช่ามิได้ทำสัญญากันเป็นหนังสือ และมิได้กำหนดระยะเวลาการเช่าไว้เป็นที่แน่นอน คงมีแต่การเก็บและชำระค่าเช่ากันเป็นรายเดือนตลอดมาเป็นเวลาช้านาน ฟ้องเช่าบางห้องเปลี่ยนมือจากเจ้าของกันถึง 3 เจ้าของก็มี ดังนี้ย่อมเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์แห่งการเช่าอาจเปลี่ยนแปลงไปเพื่อประกอบธุระกิจหรือการค้าก็ได้ ฉะนั้นในชั้นหลังนี้ เมื่อผู้เช่าใช้ห้องเช่าเป็นที่ประกอบธุระกิจหรือประกอบการค้า แล้ว ผู้เช่าก็ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ย่อยาว
คดี ๕ สำนวนนี้ โจทก์ฟ้องเป็นใจความทำนองเดียวกัน คือ อ้างว่า จำเลยเช่าห้องของโจทก์ ทำการค้า โจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่คืนห้องเช่า จึงต้องฟ้องขอให้ขับไล
จำเลยให้การทำนองเดียวกันว่า เช่าห้องพิพาทเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ แม้จะได้ความว่า ในชั้นแรกจำเลยเช่าห้องโดยใช้เป็นที่อยู่อาศัยก็ดี แต่เนื่องจากปรากฎว่าการเช่าของจำเลยทุกรายมิได้ทำสัญญาเป็นหนังสือ และมิได้มีกำหนดระยะเวลาแห่งการเช่าไว้เป็นแน่นอน คงมีแต่การเก็บและชำระค่าเช่ากันเป็นรายเดือนตลอดมาเป็นเวลาช้านาน ห้องที่เช่าบางห้องเปลี่ยนมือจากเจ้าของกันถึง ๓ เจ้าของ ฉะนั้นจำเลยจะยกเอาการที่จำเลยเข้าอยู่อาศัยแต่แรก ขึ้นมาอ้างเพื่อได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ หาได้ไม่ เพราะในระหว่างนั้น วัตถุประสงค์แห่งการเช่าอาจเปลี่ยนแปลงไปเพื่อประกอบธุระกิจ หรือการค้าก็ได้ คดีนี้ ห้องรายพิพาทที่อยู่ริมถนนสี่พระยาเป็นห้องที่ตั้งอยู่ในทำเลการค้า และห้องที่นายทัดจำเลยเช่าติดกับห้องริมถนนสีพระยา เป็นที่ประกอบการอุตสาหกรรมทอผ้าและย้อมผ้าโดยใช้แรงคน จำเลยทุกคนเสียภาษีโรงค้า คดีต้องฟังว่าจำเลยได้ใช้ห้องเช่าเป็นที่ประกอบธุระกิจหรือประกอบการค้าและจำเลยบางคนได้จดทะเบียนพาณิชย์ไว้ที่ห้องพิพาท คดีต้องฟังว่าจำเลยได้ใช้ห้องเช่าเป็นที่ประกอบธุระกิจหรือประกอบการค้า จึงไม่ได้รับความคุ้มครองจาอ พ.ร.บ. ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
จึงพิพากษากลับ ให้ขับไล่จำเลย
่