คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1914-1915/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโคและกระบือของผู้เสียหายถูกลักไปในคืนเกิดเหตุทั้งสองแห่ง เมื่อผู้เลี้ยงต่างเห็นผู้ร้ายพาโคกระบือไปห่างบ้านตนคนละประมาณ 3 เส้น และ 2 เส้นเศษต่างก็ไปแจ้งผู้เสียหายทันที และผู้เสียหายก็ไปแจ้งตำรวจทันที ตำรวจแยกเป็น 2 ทางตามรอยโคกระบือไปเป็นเวลาประมาณ 7 ชั่วโมงจนไปพบปะผู้ร้ายและโคกระบือคนละตำบลกับที่เกิดเหตุก็ดี และแม้ผู้ร้ายจะกระจัดกระจายจนโคกระบือข้ามแม่น้ำไปบ้างแล้วก็ดี การลักทรัพย์รายนี้ก็หายังได้ขาดตอนจากกันไม่
เมื่อผู้ร้ายมี5 คน 3 คนแรกวิ่งไปทางกลางเกาะอีก 2 คนวิ่งตามไปติด ๆ กัน แล้วอีก 2 คนลงไปที่เรือชล่าที่จอดอยู่ ตอนเจ้าพนักงานบอกให้วางอาวุธเพราะได้ล้อมไว้แล้ว พวกผู้ร้ายกลับยิงปืนมาเป็นทำนองต่อสู้ขัดขวางเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา ดังนี้การกระทำของจำเลยต้องด้วยลักษณะสมคบกันปล้นทรัพย์.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลได้พิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่าเวลากลางคืน ๑๖,๑๗ ส.ค. ๙๗ จำเลยกับพวกทีกหลายคนมีอาวุธปืนสมคบกันลักกระบือและโคของนางวุ่นไป ต่อมาวันที่ ๑๗ ส.ค. ๙๗ เวลากลางวัน จำเลยกับพวกใช้ปืนยิงเพื่อจะทำร้ายพวกผู้เสียหายและนายสิบตำรวจตรีสำราญกับพวกซึ่งติดตามจับจำเลยโดยเจตนาและเพื่อต่อสู้ขัดขวางพวกผู้เสียหายและเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่อันชอบด้วย ก.ม. แต่กระสุนปืนไม่ถูกพวกผู้เสียหายและเจ้าพนักงาน ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ก.ม.อาญา ม.๒๕๐,๓๐๑,๑๑๙,๑๒๐,๖๐ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.อาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔) ม.๗ กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาโค ฯลฯ
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่าวันที่ ๑๗ ส.ค. ๙๗ เวลากลางวันนายจูจำเลยบังอาจมีอาวุธปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ ซึ่งใช้ยิงได้และไม่มีทะเบียน กระสุนปืนเล็กยาว ๒ นัด ฯลฯ ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้อนุญาตขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ ม.๗,๗๒ ฯลฯ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๑๑๙,๑๒๐,๓๐๑ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ก.ม.อาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ (ฉบับที่ ๔) ม.๗ ให้รวมกระทงลงโทษจำเลยจำคุกคนละ ๑๒ ปี นายจูจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ ม.๗๒ ให้ปรับ ๑,๐๐๐ บาท ไม่เสียค่าปรับให้จัดการตาม ก.ม.อาญา ม.๑๘ นับโทษนายจูจำเลยตามคดีดำที่ ๓๒๗/๒๔๙๗ ต่อจากคดีดำที่ ๓๒๘/๒๔๙๗ ของศาลชั้นต้น ฯลฯ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม.๒๙๖ ให้จำคุกจำเลยคนละ ๔ ปี ลดโทษปราณีตาม ม.๕๙ ให้จำเลย ๑ ใน ๓ คงจำคุกจำเลยคนละ ๒ ปี ๘ เดือนและจำเลยมีความผิดตาม ม.๑๑๙,๑๒๐ ด้วย ให้ลงโทษจำคุกจำเลยอีกคนละ ๑ ปี รวมโทษจำคุกจำเลยคนละ ๓ ปี ๘ เดือน นอกจากที่แก้ไขนี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกาต่อมา
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง เพราะการลักทรัพย์ของจำเลยและพวกยังไม่ขาดตอน เมื่อพวกเจ้าทรัพย์และเจ้าพนักงานติดตามไปพบปะจำเลยเมื่อจับกุมและเอาทรัพย์คืนก็ถูกพวกจำเลยยิงต่อสู้ขัดขวาง เพื่อจะเอาทรัพย์และเพื่อจะหลีกเลี่ยงให้พ้นความผิด จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
ฎีกาของจำเลยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะโคและกระบือของผู้เสียหายอยู่คนละคอกกันห่างกันประมาณครึ่งกิโลเมตร การกระทำย่อมห่างสถานที่และต่างกรรมต่างวาระกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อหาว่านายจูจำเลยมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาตสำนวนหลังนั้นฎีกาของนายจูจำเลยต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อาญา ม.๒๒๐ จึงให้ยกฎีกาในสำนวนนี้
ฟ้องโจทก์กล่าวบรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่เกิดการกระทำผิดพอสมควรให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโคและกระบือของผู้เสียหายได้ถูกผู้ร้ายลักไปในคืนเกิดเหตุทั้งสองแห่ง เมื่อผู้เลี้ยงต่างเห็นผู้ร้ายพาโคกระบือไปห่างบ้านตนคนละประมาณ ๓ เส้นและ ๒ เส้นเศษ ต่างก็ไปแจ้งผู้เสียหายทันที ผู้เสียหายก็ไปแจ้งตำรวจทันที แยกกันเป็น ๒ ทางตามรอยโคกระบือไปตั้งแต่เวลาประมาณ ๒๓ น. จนกระทั่งรุ่งขึ้นเช้า ๗.๐๐ น. เป็นเวลาประมาณ ๗ ชั่วโมง จนไปพบปะผู้ร้ายและโคกระบือคนละตำบลกับที่เกิดเหตุก็ดี และผู้ร้ายกระจัดกระจายจนโคกระบือข้ามแม่น้ำไปบ้างแล้วก็ดี เห็นว่าการลักทรัพย์นี้ยังหาได้ขาดตอนจากกันไม่ ผู้ร้ายมี ๕ คน ๓ คนแรกวิ่งไปทางกลางเกาะ อีก ๒ คนวิ่งตามไปติด ๆ กัน แต่อีก ๒ คนลงไปที่เรือชล่าที่จอดอยู่ น่าเชื่อว่าผู้ร้าย ๕ คนนี้สมคบกันมาตอนเจ้าพนักงานบอกให้วางอาวุธเพราะได้ล้อมไว้แล้ว พวกผู้ร้ายกับยิงปืนมาเป็นทำนองต่อสู้ขัดขวางเพราะถูกเจ้าพนักงานล้อมไว้ ประสงค์มิให้ถูกจับกุมจะได้หลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาไป การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเข้าเกณฑ์ลักษณะชิงทรัพย์ เมื่อมีพวกถึง ๓ คนและอาวุธจึงต้องด้วยลักษณะปล้นทรัพย์
พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ก.ม. ที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดมา แต่ให้ปราณีจำเลยตาม ม.๕๙ คนละ ๑ ใน ๓ คงจำคุกจำเลยไว้คนละ ๘ ปี นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการและให้ยกฎีกาของจำเลยเสีย.

Share