คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 989-993/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำว่า “อาจต้องรับผิดเสียเงินอีก ฯลฯ” ตามความใน มาตรา 23,26 แห่งประมวลรัษฎากรนั้น เป็นเรื่องที่กฎหมาย กำหนดให้ใช้ดุลพินิจหนักเบาตามควรแก่กรณีเป็นเรื่องๆไม่ว่าควรเรียกภาษีเพิ่มถึงเต็มพิกัดหรือลดหย่อนลงเพียงใด เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินเรียกเก็บภาษีเพิ่มเป็นจำนวนเกินสมควรแก่พฤติการณ์ที่ผู้เสียควรต้องรับผิดแล้ว ศาลย่อมมีอำนาจกำหนดลดให้ตามที่เห็นสมควรได้

ย่อยาว

คดีนี้ข้าหลวงตรวจการสรรพากรภาค 3 นครราชสีมา ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีอากรในรายปี 5 ปีนั้น ระบุเป็นรายปีว่าปีใดโจทก์แสดงรายการภาษีเงินได้ตามแบบที่ยื่นยังขาดไปไม่ถูกต้องความจริง สั่งแก้จำนวนที่ประเมินไว้เดิม และแจ้งจำนวนเงินภาษีโดยตรงที่ยังขาดจริงที่ต้องชำระตามประมวลรัษฎากร มาตรา 20 จำนวนหนึ่ง กับที่ต้องรับผิด (ทำนองค่าปรับแต่คงให้ถือว่าเป็นค่าภาษี) เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 20ของจำนวนแรก ตามมาตรา 23 อีกจำนวนหนึ่ง และปีใดโจทก์ไม่ยื่นรายการภาษีเงินได้ เจ้าพนักงานฯ จึงแจ้งภาษีโดยตรงที่โจทก์ต้องชำระตาม มาตรา 24 จำนวนหนึ่ง กับที่ต้องรับผิด (ทำนองค่าปรับแต่คงให้ถือว่าเป็นค่าภาษี) เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าของจำนวนแรกตาม มาตรา 26 อีกจำนวนหนึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

พ.ศ.
ฯลฯ
ภาษีที่เรียกเพิ่ม

2491
ฯลฯ
(20%) 1434.36

2492
ฯลฯ
(20%) 12,637.62

2493
ฯลฯ
(20%) 38,059.87

2494
ฯลฯ
(2เท่า) 306,450.40

2495
ฯลฯ
(2เท่า) 545,087.58รวม 5 พ.ศ.
ฯลฯ
903,660.83

ในทุก พ.ศ. ที่เจ้าพนักงานประเมินใหม่นี้ โจทก์มิได้คัดค้านในลักษณะความผิดในจำนวนเงินได้ และจำนวนเรียกภาษีโดยตรงเป็นแต่เถียงข้อเดียวในจำนวนภาษีที่เรียกเพิ่มว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงอุทธรณ์คัดค้านการประเมินของเจ้าพนักงานฯ จำเลยพิจารณาแล้วสั่งให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์

โจทก์จึงอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยต่อศาล ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 30 โดยทำเป็นคำฟ้องแยกเป็น 5 สำนวนตามรายปีและได้พิจารณาพิพากษารวมกัน

จำเลยให้การว่ากรณีนี้เจ้าพนักงานฯ ประเมินใหม่นั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว การเรียกเงินเพิ่มภาษีเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานฯประเมินที่จะใช้ดุลยพินิจ ฯลฯ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์คงฎีกาต่อมาข้อเดียวคือ ในการใช้ดุลยพินิจให้จำเลยรับผิด

ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลทั้งสองที่ว่าไม่ควรต้องฟังคำพยานต่อไปในเมื่อจำเลยยื่นรายการไม่ถูกต้อง หรือไม่ยื่นรายการ แล้วก็อาจต้องรับผิดถูกเรียกภาษีเพิ่มตาม มาตรา 22, 26 ซึ่งบัญญัติรวมความว่าผู้ยื่นรายการไม่ถูกต้องหรือไม่บริบูรณ์อาจต้องรับผิดเสียเงินอีกร้อยละ 20 และผู้ไม่ยื่นรายการอาจต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มอีก2 เท่าของจำนวนเงินภาษีโดยตรง เมื่อได้พิเคราะห์ข้อความของ 2 มาตราที่ว่า “อาจต้องรับผิดเสียเงินอีก ฯลฯ” เห็นว่าเป็นเรื่องที่กฎหมายกำหนดให้ใช้ดุลยพินิจหนักเบาตามควรแก่กรณีเป็นเรื่อง ๆ ไปว่าควรเรียกภาษีเพิ่มถึงเต็มพิกัดหรือลดหย่อนผ่อนลงเพียงใด เรื่องนี้จำเลยมิได้โต้เถียงข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า โจทก์ยอมส่งมอบหลักฐานให้โดยดีและทันทีนับว่าให้ความสะดวกแก่การตรวจค้นซึ่งมีเหตุอันควรจะกรุณาแก่จำเลยอยู่บ้าง พฤติการณ์ดังกล่าวหากจะให้จำเลยต้องรับผิดในจำนวนภาษีที่เรียกเพิ่มเพียง 2 ใน 3 ของอัตราเดิมพิกัดตามที่ถูกประเมินมาก็เป็นการสมควรแก่การใช้ดุลพินิจให้จำเลยต้องรับผิดตามเกณฑ์นี้จำเลยต้องถูกเรียกภาษีเพิ่มรวม 5 ปีเงิน602,440.55 บาท ซึ่งรวมกับจำนวนที่โจทก์เสียภาษีโดยตรงอีก686,423.78 บาท ยังล้นกว่าจำนวนเงินได้ของโจทก์ไปถึงเกือบสองแสนบาทอยู่แล้ว

จึงพิพากษาแก้ให้โจทก์ต้องรับผิดในจำนวนภาษีที่เรียกเพิ่มใน 5ปีนี้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 22, 26 เป็นเงิน 602,440.55 บาท(หรือเท่ากับ 2 ใน 3 ของจำนวนที่โจทก์ถูกเจ้าพนักงานเรียกประเมินมาให้จำเลยสั่งคืนหรือสั่งให้เจ้าพนักงานประเมินคืนในส่วนที่เสียเกินไป 1 ใน 3 เป็นเงินรวม 301,220.28 บาท นอกนี้คงเดิม

Share