คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1725-1726/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ธนาคารจำเลยเรียกเก็บเงินตามเช็คที่โจทก์นำฝากเข้าบัญชีของโจทก์ไม่ได้ ก็มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันควรแก่หน้าที่ตัวแทนนั้น หากปรากฏว่าถึงอย่างไรลูกหนี้ตามเช็คก็สามารถชำระหนี้ได้เพียงร้อยละ 50 แล้ว ก็จะถือว่าจำเลยทำให้โจทก์เสียหายมากกว่านี้ไม่ได้ และหากโจทก์มีโอกาสจะรับชำระหนี้ร้อยละ 50 จากลูกหนี้แต่กลับไม่รับชำระ เป็นการบำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายแล้วก็ถือว่าโจทก์มีส่วนทำความผิดให้เกิดความเสียหายด้วย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้พิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2502 โจทก์นำเช็คเงินสด 3 ฉบับ ฉบับละ 20,000 บาทซึ่งนายปองจิว แซ่หว่อง เจ้าของและผู้จัดการบริษัทโรงสีหนองแก จำกัด ออกชำระหนี้เข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์เพื่อให้เรียกเก็บเงินตามเช็ค ต่อมา7 และ 8 มีนาคม 2503 โจทก์สั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ รวมเงิน 60,000 บาท จำเลยปฏิเสธการจ่ายเงินทั้ง 2 ฉบับ วันที่ 22 มีนาคม จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ 30,000 บาท โดยแจ้งว่าเช็คเงินสดที่โจทก์นำฝากเก็บเงินได้ไม่ครบ แต่เป็นเวลานานเกินสมควร ไม่มีทางที่โจทก์จะเรียกร้องเก็บจากผู้สั่งจ่ายได้ทำให้โจทก์เสียหาย เพราะไม่แจ้งให้โจทก์ทราบภายใน 7 วัน นับแต่จำเลยรับเช็คของโจทก์ไว้ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาท และดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองให้การว่า เช็คที่โจทก์นำเข้าบัญชีเป็นเช็คลงวันล่วงหน้าจำเลยรับไว้เพื่อเรียกเก็บ จำเลยเรียกเก็บเงินตามวิธีการและประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติกันในจังหวัดขอนแก่น เมื่อเก็บเงินไม่ได้ จำเลยก็แจ้งให้โจทก์ทราบ จำเลยมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อ โจทก์มิได้เรียกร้องเอาจากนายปองจิวตามสิทธิของโจทก์เองเงิน 30,000 บาท โจทก์รับจากโรงสีไฟหนองแกตามข้อตกลงประนอมหนี้และเวนคืนเช็คทั้งสามฉบับไปแล้ว

สำนวนที่ 2 โจทก์ฟ้องทำนองเดียวกับสำนวนแรก แต่เป็นเช็ค 9 ฉบับ เงิน 225,000 บาท จำเลยให้การปฏิเสธทำนองเดียวกับสำนวนแรก

ศาลชั้นต้นเห็นว่า เช็คที่โจทก์ทั้งสองนำเข้าบัญชีของโจทก์เป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้า ต่อมาธนาคารจำเลยเรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยอยู่ในฐานะตัวแทนเรียกเก็บเงินเพื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกค้าจำเลยละเลยไม่แจ้งและคืนเช็คให้โจทก์ตามวิธีการของธนาคาร ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 812 ศาลชั้นต้นเห็นว่าความเสียหายของโจทก์จะถือเอาตามจำนวนเงินในเช็คทีเดียวไม่ได้โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า ถ้าจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบการเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จะสามารถได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ได้เต็มจำนวนคงได้ความว่าได้มีการประนอมหนี้บริษัทโรงสีไฟหนองแก จำกัด ลูกหนี้ตกลงชำระหนี้ร้อยละ 50 เห็นได้ว่า แม้โจทก์จะได้รับแจ้งตามกำหนดโจทก์ก็น่าจะได้รับชำระหนี้ร้อยละ 50 นายซามโจทก์ได้รับชำระหนี้ครึ่งหนึ่ง คือ 30,000 บาทไปจากจำเลยแล้ว จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้นายยุ่นโจทก์ 112,500 บาท ให้ยกฟ้องนายเล่งโจทก์

โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดและจำเลยเรียกเก็บเงินไม่ได้แล้ว จำเลยมิได้มีหลักฐานแสดงว่าได้แจ้งให้โจทก์ทราบดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา812 โจทก์นำสืบถึงความเสียหายมุ่งไปในทางว่าหากนายปองจิวไม่หลบหนีโจทก์ก็จะดำเนินคดีทางอาญาให้นายปองจิวนำเงินมาใช้ให้เต็มจำนวนในเช็ค แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการดำเนินคดีอาญาไม่ใช่วิธีการที่จะบังคับผู้ไม่มีทรัพย์ให้ชำระหนี้ได้ เมื่อโรงสีไฟหนองแกประชุมเจ้าหนี้ตกลงชำระหนี้ร้อยละ 50 ไม่ได้ความว่า หากโจทก์ทราบในเวลาอันควรว่าจำเลยเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนในเช็ค เมื่อนายซามโจทก์รับชำระหนี้ไปร้อยละ 50 แล้วแต่นายยุ่นโจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้ตามที่ควรจะได้รับเป็นความผิดของนายยุ่นโจทก์เอง จะว่าจำเลยทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้ พิพากษาแก่ให้ยกฟ้องคดีนายยุ่นโจทก์เสียด้วย

โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ในข้อที่ได้มีการประนอมหนี้ตามเช็คของโรงสีไฟหนองแกซึ่งโจทก์ว่าไม่ได้ร่วมประชุมด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีพยานประกอบคำนายบรรหารจำเลยที่ 2 มั่นคงพอรับฟังเช่นนั้นได้ และยังได้ความต่อไปว่า นายซอได้จ่ายเงินที่จะซื้อโรงสีล่วงหน้าไป 30,000 บาท และนายซามโจทก์ก็ได้รับเงินไปจากจำเลย30,000 บาท นายจี้เฮียงผู้ไกล่เกลี่ยและนายซอผู้ซื้อโรงสีเป็นพยานจำเลยในข้อนี้มีน้ำหนักรับฟังได้ ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันควรแก่หน้าที่ตัวแทนเรียกเก็บเงินว่าเช็คของโจทก์เรียกเก็บไม่ได้นั้น ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายอันจำเลยจะต้องรับผิดอย่างใด ข้อที่โจทก์ว่าโจทก์อาจใช้สิทธิในทางอาญาบังคับในทางอ้อมให้นายปองจิวผู้สั่งจ่ายเช็คต้องหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เช็ครายนี้โจทก์ก็รับอยู่ว่านายปองจิวออกในนามบริษัทโรงสีไฟหนองแก จำกัด ไม่ใช่เช็คส่วนตัวนายปองจิว และการที่จะใช้คดีอาญาเป็นทางบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ทางอ้อมนั้น ศาลฎีกาก็ไม่เห็นว่าโจทก์จะอ้างเอาเหตุนี้มาเรียกร้องให้ศาลรับฟังว่าเป็นความเสียหายโดยตรงที่โจทก์ได้รับ เพราะโจทก์ไม่มีโอกาสจะใช้วิธีการเช่นนั้นแต่อย่างใดคดีคงฟังได้แต่เพียงว่า ถึงอย่างไรลูกหนี้ตามเช็คที่จำเลยเรียกเก็บเงินแทนโจทก์ก็สามารถชำระหนี้ได้เพียงร้อยละ 50 จะถือว่าจำเลยทำให้โจทก์เสียหายมากกว่านั้นไม่ได้ นายซามโจทก์ได้รับชำระหนี้ไปตามนั้นแล้ว ส่วนนายยุ่นโจทก์มีโอกาสจะบรรเทาความเสียหายของตนในส่วนนี้ได้ทำนองเดียวกัน แต่กลับไม่กระทำเช่นนั้น ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 223 วรรคสอง การที่เจ้าหนี้ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายนั้น ถือเป็นเหตุที่เจ้าหนี้มีส่วนทำความผิดให้เกิดความเสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ประเด็นเรื่องความเสียหายของโจทก์นั้นเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบ โจทก์จะเถียงว่าคดีไม่มีประเด็น เพราะจำเลยไม่ได้โต้เถียงหาได้ไม่ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

Share