คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 214-215/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจหลอกให้โจทก์มาด้วยโดยอ้างว่าผู้บังคับกองเรียกให้ไปพบนั้น หาใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายไม่
แม้ว่าต่อมาผู้บังคับกองจะสั่งให้จำเลยพาโจทก์ไปหานายร้อยเวรก็ตาม ก็ไม่ถือว่าโจทก์ยอมไปด้วยความสมัครใจ ดังนั้น เมื่อโจทก์ขอตัวกลับ แต่จำเลยยังคงหน่วงเหนี่ยวตัวไว้ จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ซึ่งห้ามไว้เด็ดขาดว่าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับไม่ได้ นอกจากในกรณี 4 ประการอันบัญญัติเป็นบทยกเว้นการกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมา

สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจใช้กำลังกายใช้มือชกต่อยทำร้ายร่างกายพลตำรวจเจิม มีฉวี ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ จนมีบาดแผลถึงบาดเจ็บ

จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยถูกพลตำรวจเจิมทำร้ายบาดเจ็บสาหัสฝ่ายเดียว

สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผู้ซึ่งเป็นพลตำรวจ มีหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ ได้บังอาจใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่า ผู้บังคับกองเรียกให้ไปหา โจทก์หลงเชื่อจึงได้ไปกับจำเลยต่อมาจำเลยใช้กำลังกายกระชากแขนโจทก์แล้วเตะและกระทืบโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายถึงทุพพลภาพ หรือป่วยเจ็บด้วยอาการทนทุกขเวทนาแก่กล้าเกินกว่า 20 วัน โดยไม่สามารถประกอบกรณียกิจได้ตามปกติ

จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยปฏิบัติราชการตามหน้าที่ และบาดแผลโจทก์ไม่ถึงสาหัส

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทั้งสองต่างทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ปรับจำเลยทั้งสองคนละ 200 บาทให้ยกฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์เฉพาะ มาตรา 138 และให้ยกฟ้องของนายสวาสดิ์โจทก์ ตามมาตรา 297, 289 และ 299

โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์ทั้ง 2 สำนวน

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ พลฯ เจิมไปหลอกนายสวาสดิ์พาตัวมานั้น ไม่ถือว่า พลฯ เจิมปฏิบัติการในหน้าที่โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ดังนั้น แม้นายสวาสดิ์จะขัดขืนไม่ยอมขึ้นไปบนสถานีตำรวจ โดยสบัดแขนหรือชกต่อยพลฯเจิม 1 ที ก็เป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายและพอสมควรแก่เหตุ นายสวาสดิ์หามีความผิดไม่ แล้วฟังว่าพลฯ เจิมทำร้ายนายสวาสดิ์บาดเจ็บสาหัส พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าพลตำรวจเจิมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 1 ปี ให้ยกฟ้องคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ และปล่อยตัวนายสวาสดิ์จำเลยพ้นข้อหาไป

พลตำรวจเจิมจำเลยและอัยการโจทก์ฎีกา โดยพลฯ เจิมจำเลยขอให้ยกฟ้องคดีที่นายสวาสดิ์เป็นโจทก์ ฝ่ายอัยการโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษนายสวาสดิ์ตามฟ้อง

ศาลฎีกาฟังว่า พลฯ เจิมได้ไปหลอกนายสวาสดิ์ให้มาพบผู้บังคับกองจริง ทั้ง ๆ ที่ผู้บังคับกองไม่ได้สั่ง ดังนั้นพลฯ เจิมจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะกระทำได้ เพราะนายสวาสดิ์มิได้มีความผิดหรือถูกแจ้งในข้อหาอันใด หากแม้จะฟังว่าต่อมาผู้บังคับกองได้สั่งให้ พลฯ เจิมพานายสวาสดิ์ไปพบนายร้อยเวรก็ตาม ในเมื่อปรากฏในชั้นแรกว่านายสวาสดิ์มาพบผู้บังคับกองโดยหลงเชื่อพลฯ เจิมแล้ว ฉะนั้น การที่นายสวาสดิ์ขอตัวกลับ แต่พลฯ เจิมยังคงหน่วงเหนี่ยวตัวไว้ จึงเป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ซึ่งห้ามไว้เด็ดขาดว่าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับไม่ได้นอกจากในกรณี 4 ประการอันบัญญัติเป็นบทยกเว้นเท่านั้น การกระทำของพลฯ เจิมยังถือไม่ได้ว่าได้ปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายตามคำพยานนายสวาสดิ์ประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจซึ่งตรวจละเอียดกว่าแพทย์โรงพยาบาลจังหวัดสมุทรสงครามปรากฏว่า นายสวาสดิ์มีบาดแผลถึงสาหัส ศาลฎีกาเชื่อว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากถูกพลฯ เจิมทำร้ายจริง ฎีกาของอัยการโจทก์และพลตำรวจเจิมฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ให้ยกฎีกาของอัยการโจทก์และพลตำรวจสมัครเจิมมีฉวี จำเลย

Share