คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2003-2005/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์บัญญัติไว้ว่า พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญานั้น บ่งชัดถึงอำนาจและหน้าที่ กล่าวคือเมื่อมีอำนาจในวัดเหมือนกับเจ้าพนักงานแล้ว หากกระทำผิดในหน้าที่ก็จะต้องเป็นผิดฐานเจ้าพนักงานกระทำความผิดด้วย
การลดโทษที่มีเหตุอันเข้าลักษณะทั้งกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่นั้น เมื่อได้ทำผิดขณะใช้กฎหมายเก่า ก็ควรอ้างกฎหมายเก่าคือ กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 เป็นเหตุลดโทษ (ตามแบบอย่างฎีกาที่ 1879/2500)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นสามสำนวน ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นพระภิกษุได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาท ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริตเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์ของวัดไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวและรับสินบน

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131, 132, 136, 137, 138 ให้รวมกระทงลงโทษจำเลย ลดแล้วคงจำคุก 2 ปี

ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำผิดฐานรับสินบนสถานเดียวพิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 138 วรรคต้นให้รวมกระทงลงโทษจำเลย ลดตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59แล้วคงจำคุก 1 ปี ส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาโต้แย้งว่าตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 57 ซึ่งว่า “พระภิกษุซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา” นั้น เป็นการให้อำนาจไว้เพื่อควบคุมและคุ้มครองอย่างเดียวกับเจ้าพนักงานเท่านั้น มิได้มีผลบังคับว่าถ้าทำผิดจะต้องเป็นเรื่องเจ้าพนักงานกระทำผิดด้วยโดยตรงดังที่กฎหมายลักษณะอาญาบัญญัติไว้ในเรื่องเจ้าพนักงานกระทำผิด จึงไม่ควรใช้บทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยเจ้าพนักงานกระทำความผิดมาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่า “ให้ถือว่าเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายลักษณะอาญา” นั้น บ่งชัดถึงอำนาจและหน้าที่พร้อมมูลทั้งสองประการ กล่าวคือ เมื่อมีอำนาจในวัดเหมือนกับเจ้าพนักงานแล้ว หากกระทำผิดในหน้าที่ก็ต้องเป็นผิดฐานเจ้าพนักงานกระทำความผิดด้วย

Share