คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 446-449/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้เป็นข้ออุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
การที่มีผู้คนเอาเงินมาช่วยทำศพผู้ตายมากน้อยเพียงไรจะเอามาช่วยบรรเทาความรับผิดของจำเลย หาได้ไม่
แม้ผู้ตายจะกำลังศึกษาเล่าเรียน แต่ปรากฏว่าผู้ตายเป็นนักเรียนช่างกลปีที่ 3 แล้วซึ่งเป็นปีสุดท้ายก็อาจเรียนจบหลักสูตร และผู้ตายมีความผูกพันตามกฎหมายต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา แม้ในปัจจุบันผู้ตายยังศึกษาเล่าเรียน มิได้อุปการะบิดามารดาก็ดี บิดามารดาย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อเหตุขาดไร้อุปการะได้

ย่อยาว

คดี 4 สำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน

ศาลฎีกาเรียกจำเลยที่ 3 ที่ 4 ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ 78/2511ของศาลชั้นต้น (หมายถึงสำนวนแรก) เป็นจำเลยที่ 5 ที่ 6 และเรียกนายสมศักดิ์ วนาสวัสดิ์ นายสมยศ วนาสวัสดิ์ ที่เข้ามาเป็นจำเลยร่วมในคดีนั้น เป็นจำเลยที่ 3 ที่ 4

โจทก์ทั้ง 4 สำนวนฟ้องและแก้ฟ้องมีใจความอย่างเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.11396 ซึ่งใช้เพื่อขนส่งวัสดุในการก่อสร้างจากกรุงเทพ ฯ มายังที่ทำการก่อสร้างมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์จังหวัดเชียงใหม่ และเพื่อประโยชน์พลอยได้ในการรับจ้างขนสินค้าอื่นเวลารถล่องกรุงเทพ ฯ และได้ให้จำเลยที่ 2 จัดการแทนตามความประสงค์ดังกล่าว จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการแทนจำเลยที่ 1 โดยมีนายเป็งแสนเครือ เป็นผู้ขับรถนั้น จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 1 และยังร่วมกับพวกที่ยังไม่ได้ฟ้องอีก 6 คน เป็นผู้ริเริ่มก่อการตั้งบริษัทจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 4 เป็นผู้ได้รับสัมปทานเดินรถส่งคนโดยสารสายเชียงใหม่-ลำพูน จากทางราชการ โดยมีรถยนต์โดยสารหลายคัน รวมทั้งรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน ล.พ.00203 ซึ่งมีจำเลยที่ 6 เป็นผู้ขับ ในวัตถุประสงค์ความรับผิดชอบและทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5

เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2509 นายเป็ง แสนเครือ ได้ขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.11396 ของจำเลยที่ 1 ตามทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 บรรทุกวัสดุเครื่องก่อสร้างและสิ่งของอื่นเต็มคันตกจากกรุงเทพ ฯ ไปจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งแก่จำเลยที่ 1 ณ ที่ทำการก่อสร้างดังกล่าว และส่งแก่สาขาตัวแทนของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่จังหวัดเชียงใหม่ รถวิ่งไปตามถนนสายลำพูน-เชียงใหม่ ได้มีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.พ.00203 ขับโดยจำเลยที่ 6 ตามวัตถุประสงค์และทางการจ้างของจำเลยที่ 5 แล่นสวนทางไปเพื่อส่งคนโดยสารยังจังหวัดลำพูน นายเป็ง แสนเครือ และจำเลยที่ 6 ต่างขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังตามวิสัยปกติชน โดยนายเป็ง แสนเครือ ได้ขับรถด้วยความเร็วสูง และขับกินทางขวาของทางโดยไม่ระมัดระวังว่าจะมีรถคันอื่นวิ่งสวนทางมา สวนกับรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ 6 ขับมาด้วยความเร็วสูงและปราศจากความระมัดระวัง ไม่หลีกเลี่ยงการชนปะทะหรือหยุดรถเสียก่อนที่รถจะสวนกัน ทำให้ตัวถังกะบะด้านขวาของรถบรรทุกที่นายเป็ง แสนเครือ เป็นผู้ขับ ปะทะกับตัวถังด้านขวาของรถยนต์โดยสารที่จำเลยที่ 6 เป็นผู้ขับโดยแรง เป็นเหตุให้รถยนต์จำเลยที่ 6 ซึ่งประกอบด้วยไม้ พังเสียหาย ทำให้คนโดยสารได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายหลายคน นายเป็ง แสนเครือ ได้หลบหนีไป ผู้โดยสารไปกับรถหมายเลขทะเบียน ล.พ.00203 คือนางสาวศรีวรรณ จันต๊ะไพร บุตรนายสุข นางโน จันต๊ะไพร โจทก์ในสำนวนแรกถึงแก่ความตาย โจทก์ต้องเสียค่าทำศพ และขาดค่าอุปการะเลี้ยงดู เป็นเงิน 32,900 บาท นายสากล หังสพฤกษ์ สามีนางประทิน หังสพฤกษ์ โจทก์สำนวนที่ 2 ถึงแก่ความตาย ต้องเสียค่าทำศพและค่าที่โจทก์และบุตรโจทก์ขาดไร้อุปการะ รวม 101,700 บาท นายปักฮ้อ แซ่โต บุตรนายติ๊ก นางยัง แซ่โต โจทก์สำนวนที่ 3 ถึงแก่ความตาย ต้องเสียค่าทำศพและค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู รวม 63,100 บาท นายธงชัย ประจงพันธ์ บุตรนายเกตุ นางเชื้อ ประจงพันธ์ โจทก์สำนวนที่ 4 ถึงแก่ความตาย ต้องเสียค่าทำศพและค่าที่โจทก์ขาดค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าสิ่งของติดตัวที่หายไปรวมเป็นเงิน 63,514 บาท จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 โดยตัวแทน ได้เจรจาว่าจะชดใช้ให้แต่ต่อมาเพิกเฉย จำเลยอื่นก็เช่นเดียวกัน จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนในจำนวนเงินดังกล่าว พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การทำนองเดียวกันทั้ง 4 สำนวนว่าได้เช่าซื้อรถ ก.ท.ว.11396 มาจริง แต่ได้ให้นายสุวรรณหรือสมุทร แซ่ด่าน เช่าไปใช้ในกิจการซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นนายจ้างจำเลยที่ 2 และนายสุวรรณ หรือสมุทร แซ่ด่านและนายเป็ง แสนเครือ ตามฟ้อง โจทก์จะเสียหายจริงหรือไม่ จำเลยปฏิเสธทั้งสิ้น โจทก์ไม่เคยทวงถามถึง ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2ให้การทำนองเดียวกันทุกสำนวนต่อสู้ว่าบริษัทพระนครขนส่ง จำกัดเพิ่งเป็นบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2509 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 อ้างว่ากระทำการต่าง ๆ จึงไม่เป็นความจริง เพราะจำเลยที่ 2 ยังมิได้มีตัวตน จำเลยที่ 2 ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 รถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.11396 ไม่ได้เป็นของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นนายจ้างของนายเป็ง แสนเครือ ใครจะควบคุมรถดังกล่าวไม่ทราบ จำเลยไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายและค่าทดแทนที่โจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ร่วมเกี่ยวข้องกับการขนส่งของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.11396 โดยจำเลยที่ 1 ได้ให้นายสุวรรณหรือสมุทร แซ่ด่าน เช่าไปใช้ในกิจการซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 และว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ไม่ได้เสียหายจริงดังฟ้อง และไม่เคยทวงถาม ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ให้การต่อสู้ว่าจำเลยมิได้เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 6 แต่ผู้เดียวเป็นเจ้าของรถนั้น จำเลยที่ 6 มิได้เป็นลูกจ้างหรือวิ่งรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 5 การเดินรถเป็นเอกสิทธิของจำเลยที่ 6 รถของบริษัทพระนครก่อสร้าง จำกัด เป็นฝ่ายผิดแต่ผู้เดียว ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนโจทก์เรียกสูงกว่าเป็นจริง จำเลยที่ 6 ให้การว่า รถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.พ.00203 เป็นของจำเลยที่ 6 ได้นำเข้าร่วมวิ่งรับส่งคนโดยสารในเส้นทางสัมปทานของจำเลยที่ 5 โดยเสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยที่ 5 ตามข้อตกลงเท่านั้น จำเลยที่ 6 ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาท เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคนขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.11396 แต่ฝ่ายเดียว ค่าใช้จ่ายในการทำศพแต่ละศพมากเกินฐานะและเกินความจริง ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดู โจทก์ก็เรียกมากเกินไป และไม่เป็นที่แน่นอนค่าสิ่งของติดตัวนายธงชัยผู้ตาย ไม่ได้สูญหายตามฟ้อง จำเลยไม่ต้องรับผิด

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า รถหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.11396เป็นของจำเลยที่ 1 และอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 โดยนายเป็งแสนเครือ ลูกจ้างจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ ได้ขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้รถชนกัน และคนที่โดยสารมาในรถยนต์หมายเลขทะเบียน ล.พ.00203 ถึงแก่ความตายตามฟ้อง จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นผู้เริ่มก่อการตั้งและเป็นกรรมการผู้จัดการ ได้แยกกิจการมาทำการขนส่งอันมีผลประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งการละเมิดนี้ ส่วนจำเลยที่ 5 ที่ 6 ยังไม่สมควรให้ร่วมรับผิดด้วย พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่สำนวน เป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ฟ้องพร้อมทั้งดอกเบี้ย และให้ร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความร้อยละ 5 ตามจำนวนเงินค่าเสียหายนั้นให้โจทก์แต่ละสำนวนด้วย ส่วนจำเลยที่ 5 ที่ 6 ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำเลยทั้งสองนี้ให้เป็นพับไป

จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 อุทธรณ์ว่า ไม่ต้องรับผิด และค่าเสียหายที่ให้ชดใช้ก็สูงเกินสมควร ส่วนจำเลยที่ 5 ที่ 6 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์จึงยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าขณะเกิดเหตุละเมิด จำเลยที่ 2ยังไม่มีสภาพบุคคล ไม่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย จึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นผู้ริเริ่มก่อการตั้งบริษัทจำเลยที่ 2 ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด ได้เริ่มดำเนินกิจการก่อนเมื่อเกิดละเมิดขึ้น จึงต้องรับผิดในฐานะส่วนตัว เพราะเท่ากับดำเนินการของตนเอง พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม และโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ทั้งสองประเด็นนี้แม้จำเลยจะได้ให้การต่อสู้ไว้แต่ในชั้นอุทธรณ์ จำเลยมิได้หยิบยกปัญหาข้อนี้เป็นข้ออุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามมาตรา 249 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจึงไม่รับวินิจฉัย ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยที่ 1 ได้ให้นายสุวรรณหรือสมุทร แซ่ด่าน เช่ารถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.11396 ไปตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นความจริงข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะเกิดเหตุรถหมายเลขทะเบียน ก.ท.ว.11396 อยู่ในความครอบครองและได้ใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 โดยมีนายเป็งแสนเครือ ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เป็นคนขับ ปัญหาที่ว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ เห็นว่า ทางพิจารณาไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 2 แม้ก่อนหรือหลังมีสภาพเป็นบริษัทจำกัด และทั้งจำเลยที่ 3 ที่ 4 มีกิจการหรือผลประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 อย่างไร จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในการละเมิดตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายในการจัดการศพและค่าขาดไร้อุปการะแต่ละศพสูงเกินไป โดยเฉพาะรายที่มีคนเอาเงินมาช่วยทำบุญ ควรจะหักเงินจำนวนนั้นออกจากที่จ่ายไปจริง เห็นว่า การที่มีผู้คนเอาเงินมาช่วยทำศพผู้ตายมากน้อยเพียงไร จะเอามาช่วยบรรเทาความรับผิดของจำเลยหาได้ไม่ และศาลฎีกาได้กำหนดให้ตามที่เห็นควรแต่ละรายไป ที่จำเลยฎีกาว่า ชอบที่จะให้จำเลยที่ 5 ที่ 6 ต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วย เพราะจำเลยที่ 6ได้มีส่วนร่วมประมาทในการละเมิดนี้ ประเด็นข้อนี้มิได้ว่ากล่าวกันมาแต่ในชั้นอุทธรณ์ จึงไม่รับวินิจฉัย

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ที่ 4และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์สำนวนที่สองและสำนวนที่สี่ตามที่ศาลฎีกากำหนดให้ พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7ครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จตามที่โจทก์ขอ ให้เสียค่าฤชาธรรมเนียมโดยเสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share