คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3431-3433/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองกับพวกพากันไปที่บ้านของ ว. โดยอ้างว่าเป็นตำรวจกองปราบปราม พกปืนบ้าง ถือกิ่งพืชกระท่อมบ้าง และกล่าวหา ว. ว่ามีพืชกระท่อมผิดกฎหมายจะจับกุมและทำบันทึกการจับกุม แล้วพูดว่า หากไม่ต้องการถูกจับกุมให้เสียเงิน ว. ไม่มีพืชกระท่อมแต่มีความกลัวต่อการข่มขู่ของจำเลยจึงยอมจ่ายเงินให้จำเลยไปแล้วจำเลยที่ 1 ก็พกปืนโดยมีจำเลยที่ 2 ถือพืชใบกระท่อมไปที่บ้านของ ท.และบ้านของส.ข่มขู่เรียกเอาเงินจากท.และส. โดยวิธีการทำนองเดียวกัน แล้วเรียกให้ ท.และส. ไปหาเงินมาส่งมอบให้จำเลยที่บ้านของว. เมื่อได้เงินแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกก็กลับไป การกระทำของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นการข่มขืนใจให้ผู้เสียหายทั้งสามยอมให้เงินที่จำเลยกระทำไป แม้จะใช้วิธีการอย่างเดียวกันแต่จำเลยได้กระทำต่อผู้เสียหายต่างรายกัน ต่างสถานที่ และต่างเวลากัน แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจำเลยมีเจตนาแยกการกระทำของตนเป็นหลายกรรมต่างกัน ต้องถือว่าจำเลยกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้โจทก์ฟ้องมีใจความอย่างเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายบทหลายกระทง โดยจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้เป็นเจ้าพนักงานแต่แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทำการเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันข่มขืนใจนายวิชัยให้ยอมให้เงิน 2,500 บาท ข่มขืนใจนายทองดีให้ยอมให้เงิน 2,500 บาท และข่มขืนใจนายสำรวยให้ยอมให้เงิน 3,000 บาท ถ้าผู้เสียหายทั้งสามไม่ยอมให้เงินก็จะทำการจับกุมในข้อหามีพืชกระท่อมไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตโดยแกล้งสร้างหลักฐานขึ้น ผู้เสียหายทั้งสามจำต้องยอมให้เงินดังกล่าวแก่จำเลยไป ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 145,148, 337, 83, 86 กับนับโทษต่อ

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ

จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337, 148 แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 148 อันเป็นบทหนักตามมาตรา 90 จำคุกทั้งสามสำนวน และนับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 341/2525 ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 และ 148, 86 ให้ลงโทษตามมาตรา 148, 86 อันเป็นบทหนักที่สุดตามมาตรา 90 จำคุกทั้งสามสำนวน นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ยังมีความผิดตามมาตรา 145 อีก จำคุกทั้งสามสำนวน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ทั้งสามสำนวน

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148, 86 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ทั้งสามสำนวนฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังยุติว่า จำเลยทั้งสองกับพวกพากันไปที่บ้านของนายวิชัย โดยอ้างว่าเป็นตำรวจกองปราบปราม พกปืนบ้างถือกิ่งพืชกระท่อมบ้าง และกล่าวหานายวิชัยว่ามีพืชกระท่อมผิดกฎหมายจะจับกุมและทำบันทึกการจับกุม แล้วพูดว่าหากไม่ต้องการถูกจับกุมให้เสียเงินนายวิชัยไม่มีพืชกระท่อม แต่มีความกลัวต่อการข่มขู่ของจำเลยจึงยอมจ่ายเงินให้จำเลย 2,500 บาท แล้วจำเลยที่ 1 ก็พกปืนโดยมีจำเลยที่ 2 ถือพืชใบกระท่อมไปด้วยไปข่มขู่เรียกเอาเงินจากนายทองดี 2,500 บาท และนายสำรวยอีก 3,000 บาท ที่บ้านของบุคคลทั้งสองดังกล่าวซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของนายวิชัยออกไปราว 15 วา และ 1 เส้นตามลำดับ โดยวิธีข่มขู่ทำนองเดียวกัน แล้วเรียกให้บุคคลทั้งสองไปหาเงินมาส่งมอบให้จำเลยที่บ้านของนายวิชัย เมื่อได้เงินแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกก็กลับไปพร้อมกัน ศาลฎีกาเห็นว่า การข่มขืนให้ผู้เสียหายทั้งสามยอมให้เงินที่จำเลยกระทำไป แม้จะใช้วิธีการอย่างเดียวกันแต่จำเลยได้กระทำต่อผู้เสียหายต่างรายกัน ต่างสถานที่และต่างเวลากัน แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาแยกการกระทำของตนเป็นหลายกรรมต่างกัน ต้องถือว่าจำเลยกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดตามมาตรา 145

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 และมาตรา 148, 86 ให้ลงโทษตามมาตรา 148, 86 อันเป็นบทหนักที่สุดตามมาตรา 90 ให้จำคุกทั้งสามสำนวน ส่วนข้อหาตามมาตรา 145 ให้ยกเสีย

Share