แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยสละสิทธิไถ่ถอนการขายฝากไม่ใช่เป็นการย้ายหรือซ่อนเร้นหรือโอนให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใด จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองคดีฟ้องเป็นทำนองเดียวกันว่า ในขณะกระทำผิดนางกาญจนาจำเลยถูกผู้ว่าคดีศาลแขวงพระนครใต้และโจทก์ร่วมในคดีนี้ฟ้องว่าได้ร่วมกับพวกฉ้อโกงทรัพย์ของนางหลักม่วยโจทก์ร่วมไปเป็นเงิน2,100,000 บาท ขอให้ลงโทษและใช้เงินคืน ในระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวจำเลยทั้งสองสำนวนได้ร่วมกันกระทำเพื่อมิให้โจทก์ร่วมซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับการชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน โดยนางกาญจนาจำเลยสำนวนแรกได้ขายฝากที่ดินของตนจำนวน 1 แปลง ให้แก่นางอัมพร ประไพตระกูล จำเลยในสำนวนหลังไปเป็นเงิน 170,000 บาท มีกำหนดไถ่ถอนใน 1 ปี ต่อมานางกาญจนาได้ปลดเงื่อนไขการไถ่ถอนการขายฝากให้กับนางอัมพรจำเลยผู้ซื้อฝาก โดยไม่มีการเพิ่มเงินเป็นผลให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางอัมพรจำเลยผู้รับซื้อฝาก ที่ดินแปลงนี้และสิ่งปลูกสร้างมีราคา 700,000 บาท และนางอัมพรจำเลยได้โอนขายกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ต่อไปอีก ต่อมาศาลฎีกาได้พิพากษาลงโทษนางกาญจนากับพวก และให้ร่วมกันคืนหรือใช้เงิน 2,100,000 บาทแก่โจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยทั้งสองสำนวนเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลเพื่อบังคับให้จำเลยชำระหนี้บางส่วนเป็นเงิน 700,000 บาทได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350, 83 และให้ใช้เงิน 700,000 บาทแก่โจทก์ร่วม
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฏิเสธ และตัดฟ้องว่าเป็นฟ้องซ้ำ
ในระหว่างพิจารณาสืบพยานโจทก์ นางหลักม่วยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต และเรียกนางกาญจนาว่าจำเลยที่ 1นางอัมพรว่าจำเลยที่ 2
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินให้จำเลยที่ 2 ก็เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในการดำเนินคดี และการที่จำเลยที่ 2 รับซื้อฝากที่ดินไว้ ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้รับซื้อฝากโดยมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ร่วมได้รับชำระหนี้ การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันปลดเงื่อนไขการขายฝากหรือสละสิทธิการขายฝากนั้น ไม่ใช่เป็นการย้ายหรือซ่อนเร้น และไม่ใช่เป็นการโอนให้แก่ผู้ซื้อ เพราะกรรมสิทธิ์ได้โอนไปในขณะขายฝากแล้ว และไม่ใช้เป็นการแกล้งให้ตนเป็นหนี้ ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมทั้งสองสำนวนฎีกา
คดีมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 1 ปลดเงื่อนไขจากการไถ่ถอนการขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้กับจำเลยที่ 2 นั้น เป็นการโอนให้แก่ผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หรือไม่
ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ถูกผู้ว่าคดีศาลแขวงพระนครใต้ฟ้องว่าร่วมกับพวกฉ้อโกงโจทก์ร่วมขอให้ใช้เงิน 2,100,000 บาทแก่โจทก์ร่วม จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดที่ 13043 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 170,000 บาท และต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกต่อเจ้าพนักงานที่ดินปลดเงื่อนไขการไถ่ถอนการขายฝากที่ดินโฉนดที่ 13043 พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างให้กับจำเลยที่ 2 ในที่สุดคดีนั้น ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงิน 2,100,000 บาทแก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงได้ดำเนินคดีทั้งสองสำนวนนี้ขึ้น
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยสละสิทธิไถ่ถอนการขายฝาก ไม่ใช่เป็นการย้ายหรือซ่อนเร้นหรือโอนให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใด การสละสิทธิไถ่ถอนการขายฝากจึงไม่อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน