คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3885/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมพนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรีฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกเข้าไปก่นสร้าง แผ้วถาง กระทำด้วยประการใด ๆ ในที่ดินพิพาทอันเป็นการทำลายป่า และเข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 54 และ 72 ตรี ศาลฎีกาในคดีดังกล่าววินิจฉัยว่า ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4 (1) ที่ดินแปลงใดที่ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินย่อมเป็นป่าทั้งสิ้นโดยไม่จำต้องมีเอกสารสิทธิในที่ดินหรือหลักฐานของทางราชการมาแสดงว่าเป็นป่าแต่อย่างใด จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) พิสูจน์ไม่ได้ว่าตนได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดิน เท่ากับวินิจฉัยแล้วว่าไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอันจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้รัฐได้ จึงมีความผิดตามฟ้อง การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบในที่ดินพิพาท ขอให้ห้ามจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้ก็ย่อมเป็นประเด็นเดียวกันกับคดีอาญาดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้อง
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว มีคำสั่งไม่รับฟ้องในส่วนจำเลยที่ 1 เนื่องจากไม่มีสภาพบุคคลตามกฎหมาย
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4480/2557 ของศาลชั้นต้นที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรีเคยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยและศาลพิพากษาลงโทษจำคุกโจทก์หรือไม่
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีมีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้วจึงให้งดสืบพยาน แล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับโดยให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์เฉพาะในประเด็นคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้น โดยมิได้วินิจฉัยในประเด็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ เป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยนั้น ก็เนื่องมาจากศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตามที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์ว่า คดีนี้มิใช่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4480/2557 ของศาลชั้นต้น กับขอให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงชอบที่จะวินิจฉัยก่อนว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงว่า คำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้นชอบหรือไม่ จึงถือเป็นการไม่ได้วินิจฉัยประเด็นตามอุทธรณ์ของโจทก์โดยครบถ้วน เป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) แต่เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยก่อน โดยปัญหาว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหรือไม่นั้น ได้ความจากข้อเท็จจริงในสำนวนว่า ก่อนคดีนี้โจทก์เคยถูกพนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรีฟ้องในคดีอาญาข้อหาบุกรุกเข้าไปก่นสร้าง แผ้วถาง กระทำด้วยประการใด ๆ ในที่ดินพิพาทอันเป็นการทำลายป่า เข้ายึดถือครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4, 54 และ 72 ตรี คดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4 (1) ที่ดินแปลงใดที่ยังไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของหรือได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดินย่อมเป็นป่าทั้งสิ้นโดยไม่จำต้องมีเอกสารสิทธิในที่ดินหรือหลักฐานของทางราชการมาแสดงว่าเป็นป่าแต่อย่างใด จำเลย (โจทก์คดีนี้) พิสูจน์ไม่ได้ว่าตนได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดินจึงเป็นป่า ปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2171/2560 เมื่อศาลฎีกาในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4480/2557 ของศาลชั้นต้น วินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่า โจทก์ในคดีนี้พิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบตามประมวลกฎหมายที่ดิน ก็เท่ากับได้วินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทอันจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้รัฐได้ การที่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เพื่อให้ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบในที่ดินพิพาท ขอให้ห้ามจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้ก็ย่อมเป็นประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4480/2557 ของศาลชั้นต้น คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วโจทก์จะมาขอให้เพิกถอนการพิจารณาพิพากษาคดีที่กระทำไปแล้วโดยชอบเพื่อให้ศาลชั้นต้นสืบพยานและมีคำพิพากษาใหม่หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share