คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2817/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อรถบรรทุกของกลางเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องซื้อมาด้วยเงินที่ได้มาระหว่างสมรส ผู้ร้องกับจำเลยจึงมีส่วนเป็นเจ้าของรวมกันคนละครึ่ง เมื่อจำเลยนำรถบรรทุกของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดจนถูกศาลพิพากษาให้ริบไปแล้ว ผู้ร้องซึ่งมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยด้วย ย่อมมีสิทธิขอคืนได้กึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งตกเป็นของอันพึงต้องริบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 61 วรรคหนึ่ง, 73/2 และริบรถบรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 82 – 0321 กาฬสินธุ์ ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้คืนรถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 82 – 0321 กาฬสินธุ์ ของกลางให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องกับจำเลยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2537 ต่อมาวันที่ 11 ตุลาคม 2555 ผู้ร้องซื้อรถบรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 82 – 0321 กาฬสินธุ์ ของกลาง ให้จำเลยนำไปรับจ้างบุคคลอื่น จากนั้นวันที่ 23 มีนาคม 2559 จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาใช้ยานพาหนะน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดบนทางหลวง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและริบรถบรรทุกของกลาง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ ผู้ร้องเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ผู้ร้องซื้อรถบรรทุกของกลางเพื่อให้จำเลยใช้ขับรับจ้างบุคคลอื่น เงินที่หามาได้จำเลยจะนำมามอบให้ผู้ร้องชำระหนี้และเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว เห็นว่า ตามคำเบิกความของผู้ร้องได้ความว่าวัตถุประสงค์ในการซื้อรถบรรทุกของกลางของผู้ร้องเพื่อให้จำเลยใช้ขับรถรับจ้างบุคคลอื่น ซึ่งเป็นอาชีพที่สุจริต โดยจำเลยรับผิดชอบงานด้วยตนเอง เมื่อจำเลยนำรถออกไปจากบ้านผู้ร้องซึ่งเป็นภริยามิได้ไปด้วย ที่เป็นความผิดก็เพราะจำเลยนำรถไปบรรทุกดินมากจนน้ำหนักเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดให้บรรทุกได้ ซึ่งน้ำหนักดินที่บรรทุกใส่รถจะมากน้อยเพียงใด เกินกำหนดหรือไม่เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจำเลยผู้เป็นคนขับและรับผิดชอบรถอยู่ในขณะเกิดเหตุนั้นแต่เพียงผู้เดียว ผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาอยู่ที่บ้านน่าจะไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้ จะฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องทั้งคันนั้น เห็นว่า ตามอุทธรณ์ของผู้ร้อง ฉบับลงวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ผู้ร้องเพียงแต่อุทธรณ์ขอให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้นโดยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอคืนรถบรรทุกของกลางในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องทั้งคันจึงเป็นการมิชอบ และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่ารถบรรทุกของกลางเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องซื้อมาด้วยเงินที่ได้มาระหว่างสมรส ผู้ร้องกับจำเลยจึงมีส่วนเป็นเจ้าของรวมกันคนละครึ่ง เมื่อจำเลยนำรถบรรทุกของกลางไปใช้ในการกระทำความผิดจนถูกศาลพิพากษาให้ริบไปแล้ว ผู้ร้องซึ่งมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยด้วย ย่อมมีสิทธิขอคืนได้กึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งตกเป็นของอันพึงต้องริบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนรถบรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share