แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ในการเจรจาต่อรองค่าตอบแทนการใช้ที่ดินภาระจำยอมระหว่างโจทก์และจำเลย เป็นธรรมดาอยู่เองที่โจทก์ย่อมต้องการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่จำเลยในจำนวนที่ต่ำ ในขณะที่จำเลยต้องการได้ค่าตอบแทนในจำนวนที่สูง จึงเป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายพึงต้องเตรียมข้อมูลมาให้พร้อมเพื่อรักษาประโยชน์ของตนเอง ที่โจทก์เสนอค่าตอบแทนแก่จำเลยในราคาตารางวาละ 1,250 บาท แม้สืบเนื่องมาจากจำเลยแถลงว่ามารดาจำเลยเคยขายที่ดินไปในราคาไร่ละ 500,000 บาท ก็ตาม แต่หากจำเลยยังไม่พอใจเพราะเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไป จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธข้อเสนอของโจทก์และเสนอราคาตามที่จำเลยต้องการได้อยู่แล้ว ทั้งในวันดังกล่าวทนายจำเลยก็เข้าร่วมเจรจาด้วยแล้ว จำเลยจึงหาได้เป็นผู้ด้อยปัญญาหรืออยู่ในภาวะที่ถูกกดดันจากสิ่งใดให้ต้องตกลงยอมความกับโจทก์ไม่ จำเลยมีเวลาในการเตรียมคดีนับแต่วันที่จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดี จนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ซึ่งศาลไกล่เกลี่ยจนโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนานถึงเกือบ 6 เดือน ย่อมมากเพียงพอต่อการที่จำเลยจะขอหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินจากสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา การไม่ทราบราคาประเมินที่ดินจึงต้องถือว่าเป็นความผิดพลาดบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฉวยโอกาสและปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาประเมินที่ดินไม่ นอกจากนี้ไม่มีบทบัญญัติใดบังคับว่า ค่าตอบแทนการใช้ภาระจำยอมต้องเป็นไปตามราคาประเมินที่ดินอีกด้วย ข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างฟังไม่ได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเกิดจากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินของจำเลยเฉพาะส่วนด้านทิศตะวันตกของที่ดินโฉนดเลขที่ 108404 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา กว้าง 4 เมตร ยาว 36 เมตร เนื้อที่ประมาณ 36 ตารางวา ตามแผนที่ท้ายฟ้อง ตกเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นของที่ดินโฉนดเลขที่ 156604 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ของโจทก์ และให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และห้ามจำเลยรบกวนทางภาระจำยอมและทางจำเป็นของโจทก์และบริวารอีกต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลว่า
ข้อ 1 จำเลยตกลงจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ 108404 เลขที่ดิน 1321 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ด้านทิศตะวันออกของที่ดินของจำเลยให้เป็นทางเข้าออกที่ดินโฉนดเลขที่ 156604 เลขที่ดิน 1602 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ของโจทก์ ทางหน้ากว้าง 3 เมตร ตลอดแนวจากถนนสายบ้านใหม่ – หนองเป็ดน้ำ ไปจนจดที่ดินของโจทก์ ปรากฏตามรูปแผนที่ (กรอบสีน้ำเงิน) ท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความนี้
ข้อ 2 โจทก์และจำเลยจะไปยื่นคำขอรังวัดแนวเขตทางภาระจำยอมตามข้อ 1 ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ภายใน 15 วัน เพื่อทราบจำนวนเนื้อที่และสภาพทางและรายละเอียดในการจดภาระจำยอม เมื่อทราบจำนวนเนื้อที่ทางแล้ว ส่วนค่าธรรมเนียมในการรังวัดและจดทะเบียนภาระจำยอมโจทก์เป็นผู้ชำระแต่ฝ่ายเดียวทั้งสิ้น ทั้งนี้ โจทก์ยอมตกลงจ่ายค่าตอบแทนในการจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่จำเลยในอัตราตารางวาละ 1,250 บาท ให้แก่จำเลยภายใน 5 วัน นับแต่ทราบจำนวนเนื้อที่ดินหรือในวันจดทะเบียนภาระจำยอมต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา โดยโจทก์จำเลยจะไปจดทะเบียนภาระจำยอมภายใน 15 วัน นับแต่ช่างรังวัดทำแผนที่ทางภาระจำยอมแล้วเสร็จ และจำเลยยินยอมให้โจทก์นำดินถมเป็นทางภาระจำยอมและกระทำการอื่นใดเพื่อประโยชน์แก่การใช้ทางภาระจำยอมได้เพื่อเข้าสู่ที่ดินของโจทก์
ข้อ 3 หากโจทก์หรือจำเลยผิดนัดตามข้อ 1 และข้อ 2 ยอมให้อีกฝ่ายบังคับคดีได้ทันที และให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของฝ่ายที่ผิดนัดได้
ข้อ 4 ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองฝ่ายตกเป็นพับ
ข้อ 5 โจทก์และจำเลยยอมตามข้อ 1 ถึงข้อ 4 และไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใดต่อกันอีก
ศาลชั้นต้นพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาเช่นว่านี้ เว้นแต่ในเหตุต่อไปนี้ (1) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล…” ที่จำเลยอุทธรณ์และฎีกาว่า จำเลยแจ้งราคาที่ดินที่มารดาจำเลยขายให้แก่บุคคลภายนอกไปในราคาไร่ละ 500,000 บาท ในวันที่ศาลไกล่เกลี่ยเป็นราคาที่ซื้อขายกันเมื่อปี 2535 โจทก์ย่อมรู้ดีว่าราคาที่ดินปัจจุบันจะต้องสูงกว่าอย่างแน่นอน โจทก์กลับถือโอกาสรีบเสนอค่าตอบแทนในราคาตารางวาละ 1,250 บาท โดยอาศัยโอกาส ความด้อยปัญญาและการอยู่ในภาวะที่ถูกกดดันหากไม่ยินยอมจะทำให้การต่อสู้คดีของจำเลยประสบกับความยุ่งยากนั้น เห็นว่า ในการเจรจาต่อรองค่าตอบแทนการใช้ที่ดินภาระจำยอมระหว่างโจทก์และจำเลย เป็นธรรมดาอยู่เองที่โจทก์ย่อมต้องการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่จำเลยในจำนวนที่ต่ำ ในขณะที่จำเลยต้องการได้ค่าตอบแทนในจำนวนที่สูง จึงเป็นเรื่องที่แต่ละฝ่ายพึงต้องเตรียมข้อมูลมาให้พร้อมเพื่อรักษาประโยชน์ของตนเอง ที่โจทก์เสนอค่าตอบแทนแก่จำเลยในราคาตารางวาละ 1,250 บาท แม้สืบเนื่องมาจากจำเลยแถลงว่ามารดาจำเลยเคยขายที่ดินไปในราคาไร่ละ 500,000 บาท ก็ตาม แต่หากจำเลยยังไม่พอใจเพราะเห็นว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไป จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธข้อเสนอของโจทก์และเสนอราคาตามที่จำเลยต้องการได้อยู่แล้ว ทั้งในวันดังกล่าวทนายจำเลยก็เข้าร่วมเจรจาด้วยแล้ว จำเลยจึงหาได้เป็นผู้ด้อยปัญญาหรืออยู่ในภาวะที่ถูกกดดันจากสิ่งใดให้ต้องตกลงยอมความกับโจทก์ไม่ ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยไม่ได้นำราคาประเมินของสำนักงานที่ดินซึ่งปรากฏว่าที่ดินของจำเลยมีราคาตารางวาละ 3,000 บาท มาเสนอศาลในวันไกล่เกลี่ย เนื่องจากพฤติการณ์ไม่เปิดช่องเพราะต้องใช้เวลาในการขอหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินจากสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา ก็ปรากฏในสำนวนว่า จำเลยมีเวลาในการเตรียมคดีนับแต่วันที่จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 จนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 23 เมษายน 2557 ซึ่งศาลไกล่เกลี่ยจนโจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน นานถึงเกือบ 6 เดือน ย่อมมากเพียงพอต่อการที่จำเลยจะขอหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินจากสำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา การไม่ทราบราคาประเมินที่ดินจึงต้องถือว่าเป็นความผิดพลาดบกพร่องของฝ่ายจำเลยเอง หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฉวยโอกาสและปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาประเมินที่ดินไม่ นอกจากนี้ไม่มีบทบัญญัติใดบังคับว่า ค่าตอบแทนการใช้ภาระจำยอมต้องเป็นไปตามราคาประเมินที่ดินอีกด้วย ข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างฟังไม่ได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเกิดจากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ