คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9173/2558

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องทั้งสามเป็นฝ่ายกล่าวอ้างในคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสามร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ต่อเนื่องกับการครอบครองยึดถือเพื่อตนของบิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามแต่ละคนที่ บ. ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทบอกยกที่ดินพิพาทให้ตั้งแต่ประมาณปี 2500 ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสามร่วมกันโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านโต้แย้งว่า บ. ให้บิดามารดาของผู้ร้องแต่ละคนอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทนตั้งแต่ประมาณปี 2500 หลังจากนั้นบิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามแต่ละคนตลอดจนผู้ร้องทั้งสามไม่เคยบอกกล่าวหรือแสดงเจตนาแก่ บ. หรือผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทว่าจะเปลี่ยนลักษณะการครอบครองโดยจะไม่ครอบครองแทนอีกต่อไป ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่ผู้ร้องทั้งสาม
ผู้ร้องทั้งสามบรรยายคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสามครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจากบิดามารดาที่ถึงแก่ความตายแล้วร่วมกันเป็นเวลานานกว่า 20 ปี และมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสามร่วมกันโดยการครอบครองปรปักษ์ กรณีมิใช่คำร้องขอที่ประสงค์ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่ละคนโดยการครอบครองปรปักษ์ตามเนื้อที่ที่แยกกันครอบครองเป็นส่วนสัด จึงย่อมจะคิดแยกทุนทรัพย์ที่ดินตามที่ผู้ร้องแต่ละคนครอบครองอยู่ไม่ได้ ทุนทรัพย์ในคดีนี้ต้องถือตามราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงที่คู่ความตีราคา 560,000 บาท

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสามร่วมกันครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2059 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันตลอดมาโดยไม่มีผู้ใดคัดค้านเป็นเวลานานกว่า 20 ปี ผู้ร้องทั้งสามประสงค์จะมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ร่วมกันครอบครองนั้น แต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถดำเนินการให้ได้ ขอให้มีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2059 ตำบลมหาชัย (มะหาไชย) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสามร่วมกันโดยการครอบครองปรปักษ์
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2059 ตำบลมหาชัย (มะหาไชย) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสามโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งในชั้นฎีกาฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2059 ตำบลมหาชัย (มะหาไชย) อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เนื้อที่ 1 งาน 60 ตารางวา มีชื่อนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมี และนายวิชิต เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมตามสำเนาโฉนดที่ดินปัจจุบันมีบ้านของผู้ร้องที่ 1 บ้านของผู้ร้องที่ 2 และบ้านของผู้ร้องที่ 3 ตั้งอยู่ในที่ดินพิพาทเรียงกันลักษณะตามสำเนาแผนที่ โดยผู้ร้องทั้งสามมีชื่อเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้านของตนตามสำเนาทะเบียนบ้าน ส่วนผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมีและนายวิชิต ผู้ตาย ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดแล้วตามสำเนาคำสั่งกับใบสำคัญแสดงว่าคดีถึงที่สุด ตามลำดับ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสามร่วมกันโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ผู้ร้องทั้งสามเบิกความทำนองเดียวกันว่า แต่แรกผู้ร้องทั้งสามอยู่อาศัยกับมารดาของผู้ร้องทั้งสามแต่ละคนในที่ดินพิพาท และได้รับคำบอกเล่าว่ามีการร่วมซื้อที่ดินพิพาทมาจากผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในราคา 10,000 บาท เมื่อปี 2500 การซื้อขายดังกล่าวตกลงกันด้วยวาจาและฝ่ายผู้ขายส่งมอบโฉนดที่ดินให้ไว้ตามสำเนาโฉนดที่ดิน ผู้ร้องทั้งสามครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเรื่อยมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ผู้ร้องทั้งสามต่างกั้นรั้วที่ดินส่วนที่ตนครอบครองแยกจากกันเป็นส่วนสัดตามสำเนาแผนที่และไม่เคยรู้จักผู้คัดค้านมาก่อน โดยผู้ร้องที่ 1 เบิกความในรายละเอียดว่า พยานครอบครองยึดถือที่ดินพิพาทส่วนที่บ้านของพยานตั้งอยู่เพื่อตนมา 20 ปีเศษ ผู้ร้องที่ 2 เบิกความในรายละเอียดว่า บิดาของพยานเคยเล่าว่าในการซื้อขายที่ดินพิพาท นางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมีและนายวิชิตแจ้งว่าจะมาจดทะเบียนโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายหลังแล้วก็ไม่มีการจดทะเบียนโอนกัน พยานไม่ได้เป็นญาติกับฝ่ายผู้ขายทั้งสาม พยานเข้าปลูกสร้างบ้านใหม่และมีชื่อเป็นเจ้าบ้านหลังจากบิดามารดาถึงแก่ความตาย โดยยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทบริเวณนั้นเพื่อตนมากว่า 10 ปี ส่วนผู้ร้องที่ 3 เบิกความในรายละเอียดว่า หลังจากบิดามารดาถึงแก่ความตายแล้ว พยานเข้าครอบครองบ้าน กับที่ดินพิพาทบริเวณนั้นเพื่อตนมาประมาณ 40 ถึง 50 ปี และผู้ร้องทั้งสามมีนางชัช เป็นพยานเบิกความว่า พยานมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 206/27 ง. ถนนเจษฎาวิถี ตำบลมหาชัย อำเภอเมืองสมุทรสาคร ตั้งแต่ปี 2512 เวลานั้นบ้านนางสาวบุญมีตั้งอยู่ริมคลองที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 206/27 ง. ดังกล่าว และพยานเคยเห็นนางสาวบุญมีกับนายวิชิต นางสาวบุญมีย้ายออกไปขณะมีอายุมากแล้ว พยานเห็นผู้ร้องทั้งสามครอบครองที่ดินพิพาทในลักษณะเป็นเจ้าของเรื่อยมากว่า 30 ปี โดยไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งสิทธิ ส่วนผู้คัดค้านมีตัวผู้คัดค้าน นายถวิล และนายเปรม เป็นพยาน โดยผู้คัดค้านเบิกความว่า พยานเป็นบุตรของนางสาวบุญมีกับนายวิชิตตามสำเนาทะเบียนบ้านและสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเดิมพยานพักอาศัยอยู่กับนางสาวบุญมีและนายวิชิตในบริเวณที่ดินพิพาท 10 ปีเศษแล้ว นางสาวบุญมีและนายวิชิตทนความเกเรของนายโฮ้ ซึ่งเป็นญาติที่จะใช้มีดมาฟันทำร้ายไม่ได้จึงย้ายออกจากที่ดินพิพาทไปอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี โดยพยานไปอยู่ที่บ้านขอมในจังหวัดสมุทรสาคร และได้รับคำบอกเล่าจากนางสาวบุญมีว่า ก่อนย้ายนางสาวบุญมีอนุญาตให้บิดามารดาของผู้ร้องแต่ละคนเข้าอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทได้ นางสาวบุญมีและนายวิชิตถึงแก่ความตายแล้ว เมื่อประมาณปี 2533 และปี 2536 ตามสำเนาหนังสือรับรองกับสำเนาแบบรับรองรายการทะเบียนคนตาย ก่อนถึงแก่ความตายนางสาวบุญมีและนายวิชิตเคยบอกพยานว่าจะจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้ แต่พยานตอบปฏิเสธเพราะเวลานั้นพยานมีฐานะยากจนและไม่สะดวกในการเดินทาง นางสาวบุญมีและนายวิชิตจึงสั่งเสียให้พยานจัดการเรื่องที่ดินพิพาทให้เรียบร้อยด้วย หลังจากศาลมีคำสั่งตั้งพยานเป็นผู้จัดการมรดกของนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมีและนายวิชิตแล้ว พยานไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นชื่อของตนในฐานะผู้จัดการมรดกไว้ตามสำเนาใบแทนโฉนดที่ดิน นายถวิลเบิกความว่า บิดามารดาของพยานเป็นพี่น้องกับนายวิชิต เดิมพยานอยู่อาศัยใกล้ที่ดินพิพาทซึ่งนายวิชิตกับนางสาวบุญมีผู้เป็นภริยาอยู่ด้วยกัน ต่อมา 20 ปีเศษ พยานแต่งงานจึงย้ายไปอยู่กับภริยาที่อื่น พยานทราบว่านายวิชิตและนางสาวบุญมีไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ใด และนายเปรมเบิกความว่า พยานเป็นบุตรของผู้คัดค้านและนายเง็ก ผู้คัดค้านเคยรับนางสาวบุญมีจากจังหวัดนนทบุรีมาอยู่ด้วยกันที่จังหวัดสมุทรสาคร นางสาวบุญมีเคยบอกให้ผู้คัดค้านไปรับโอนที่ดินพิพาททางทะเบียนแต่ระยะนั้นผู้คัดค้านไม่มีเงินและการคมนาคมไม่สะดวกจึงยังไม่ดำเนินการ จากพยานผู้ร้องทั้งสามกับพยานผู้คัดค้านข้างต้นเห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องทั้งสามเป็นฝ่ายกล่าวอ้างในคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสามร่วมกันครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ต่อเนื่องกับการครอบครองยึดถือเพื่อตนของบิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามแต่ละคนที่นางสาวบุญมีผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทบอกยกที่ดินพิพาทให้ตั้งแต่ประมาณปี 2500 ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสามร่วมกันโดยการครอบครองปรปักษ์ ผู้คัดค้านโต้แย้งว่า นางสาวบุญมีให้บิดามารดาของผู้ร้องแต่ละคนอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่มีค่าตอบแทนตั้งแต่ประมาณปี 2500 หลังจากนั้นบิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามแต่ละคนตลอดจนผู้ร้องทั้งสามไม่เคยบอกกล่าวหรือแสดงเจตนาแก่นางสาวบุญมีหรือผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทว่าจะเปลี่ยนลักษณะการครอบครอง โดยจะไม่ครอบครองแทนอีกต่อไป ดังนี้ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่ผู้ร้องทั้งสาม ซึ่งตามที่ผู้ร้องทั้งสามกล่าวอ้างในคำร้องขอถึงจุดเริ่มต้นอันเป็นเหตุให้มีการเข้าครอบครองยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตนว่าเป็นเพราะนางสาวบุญมีบอกยกที่ดินพิพาทให้บิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามแต่ละคนนั้น ผู้ร้องทั้งสามกลับนำสืบแตกต่างไปว่าได้รับคำบอกเล่าจากบิดามารดาของตนว่าร่วมกันตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทด้วยวาจากับฝ่ายนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมีและนายวิชิตผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมโดยได้รับมอบโฉนดที่ดินให้ยึดถือไว้ ซึ่งตามที่ผู้ร้องที่ 3 เบิกความตอบทนายผู้ร้องทั้งสามถามติงว่า หลังจากนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมี และนายวิชิตขายที่ดินพิพาทให้บิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามแล้ว ผู้ร้องที่ 3 ไม่ทราบว่าบุคคลทั้งสามหายไปไหน แต่กลับปรากฏจากคำเบิกความของนางชัชซึ่งเป็นพยานผู้ร้องทั้งสามเองว่าในปี 2512 นางชัชยังเคยเห็นนางสาวบุญมีอยู่ที่บ้านนางสาวบุญมีในบริเวณที่ดินพิพาทและยังเคยเห็นนายวิชิตออกเรือไปหาปลา อันเป็นข้อเท็จจริงที่แตกต่างขัดแย้งกันอย่างชัดแจ้ง กรณีจึงไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดได้แน่ชัด นอกจากนี้ปรากฏจากคำเบิกความของผู้ร้องที่ 3 ที่ตอบทนายผู้คัดค้านถามค้านได้ความตรงกันว่า ผู้ร้องที่ 2 และผู้ร้องที่ 3 ได้รับคำบอกเล่าจากบิดามารดาของตนว่าในการซื้อขายที่ดินพิพาทฝ่ายนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมีและนายวิชิตส่งมอบโฉนดที่ดินให้ไว้โดยแจ้งว่าจะมาจดทะเบียนโอนให้ในภายหลัง ซึ่งหากข้อนำสืบของผู้ร้องทั้งสามในส่วนนี้เป็นเรื่องแท้จริงข้อตกลงระหว่างฝ่ายบิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามกับฝ่ายนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมีและนายวิชิตที่ประสงค์จะมีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทตามแบบของกฎหมายโดยจะไปจดทะเบียนโอนกันที่สำนักงานที่ดินในภายหลังก็มีลักษณะเป็นสัญญาจะซื้อขาย กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังไม่โอนมายังผู้ซื้อจนกว่าจะได้จดทะเบียนโอนตามแบบของกฎหมาย แม้ฝ่ายบิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามเข้าครอบครองที่ดินพิพาทแล้วก็ถือว่าเป็นการครอบครองแทนฝ่ายนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมีและนายวิชิต ผู้จะขายเรื่อยมา การที่ผู้ร้องทั้งสามเข้าครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อจากบิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามแต่ละคนจึงเป็นการครอบครองแทนเช่นกัน เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าบิดามารดาของผู้ร้องทั้งสามแต่ละคนหรือผู้ร้องทั้งสามได้บอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะการยึดถือที่ดินพิพาทแก่ฝ่ายนางสาวบุญช่วย นางสาวบุญมีและนายวิชิตหรือผู้คัดค้านซึ่งเป็นทายาทว่าจะไม่ยึดถือแทนอีกต่อไป แม้ผู้ร้องทั้งสามครอบครองที่ดินพิพาทมาเกิน 10 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ดังนี้ พยานหลักฐานที่ผู้ร้องทั้งสามนำสืบจึงรับฟังไม่ได้ตามภาระการพิสูจน์ ข้อเท็จจริงต้องฟังว่า ที่ดินพิพาทไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสามโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
อนึ่ง คดีนี้ผู้ร้องทั้งสามบรรยายคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสามครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของสืบต่อจากบิดามารดาที่ถึงแก่ความตายแล้วร่วมกันเป็นเวลานานกว่า 20 ปี และมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสามร่วมกันโดยการครอบครองปรปักษ์ กรณีมิใช่คำร้องขอที่ประสงค์ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่ละคนโดยการครอบครองปรปักษ์ตามเนื้อที่ที่แยกกันครอบครองเป็นส่วนสัด จึงย่อมจะคิดแยกทุนทรัพย์ที่ดินตามที่ผู้ร้องแต่ละคนครอบครองอยู่ไม่ได้ ทุนทรัพย์ในคดีนี้ต้องถือตามราคาที่ดินพิพาททั้งแปลงที่คู่ความตีราคา 560,000 บาท ฎีกาของผู้คัดค้านจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้คัดค้านฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องทั้งสาม ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share