แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยในคดีนี้ ปรากฏว่าในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลย 4 ปี 3 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท และคดีเป็นอันถึงที่สุดไปแล้ว กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ ตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91 นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1921/2559 และ 1922/2559 ของศาลจังหวัดลำปาง
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1921/2559 และ 1922/2559 ของศาลจังหวัดลำปาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลย 20,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยไว้ 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษทุกประเภท ให้จำเลยไปรับการบำบัดรักษาการติดยาเสพติดให้โทษ ณ สถานที่และตามระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 29/1, 30 ยกคำขอให้นับโทษต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เห็นว่า โจทก์กล่าวอ้างมาในฎีกา โดยจำเลยไม่ได้ยื่นคำแก้ฎีกาคัดค้าน และข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานการคุมความประพฤติของพนักงานคุมประพฤติฉบับลงวันที่ 30 สิงหาคม 2560 ว่า ภายหลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาในคดีนี้ ปรากฏว่าในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1921/2559 และ 1922/2559 ของศาลจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ให้จำคุกจำเลย 4 ปี 3 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ศาลจังหวัดลำปางได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวให้จำเลยฟังแล้วเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 และคดีเป็นอันถึงที่สุดไปแล้ว ปัจจุบันจำเลยต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำกลางลำปางในคดีดังกล่าว กรณีของจำเลยจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น