แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำร้องขอขัดทรัพย์ของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ ให้ผู้ร้องขัดทรัพย์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์จำนวน 3,000 บาท เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา ผู้ร้องขัดทรัพย์จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียม (ค่าทนายความดังกล่าว) ซึ่งจะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลพร้อมกับฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ประกอบมาตรา 247 และประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา คดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่นำเงินค่าทนายความ 3,000 บาท มาวางศาลพร้อมฎีกา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์มาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 12806 และ 11358 จากจำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์กลับมาเป็นจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 12806 กึ่งหนึ่ง และที่ดินโฉนดเลขที่ 11358 กึ่งหนึ่ง พร้อมอาคารเลขที่ 80 เฉพาะบนที่ดินหนึ่งในสี่ หุ้นที่ผู้ตายเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 2 จำนวน 37.8 หุ้น และหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 4 จำนวน 3 หุ้น แก่โจทก์ หากตกลงแบ่งกันไม่ได้ ให้นำทรัพย์ทั้งหมดดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันตามส่วน ให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าขาดประโยชน์ของโจทก์เป็นเงิน 12,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินดังกล่าวเสร็จสิ้นแก่โจทก์ และชำระค่าขาดประโยชน์ดังกล่าวแก่โจทก์ต่อไปเป็นรายเดือน เดือนละ 150,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะแบ่งที่ดินและอาคารดังกล่าวแก่โจทก์ ยกคำร้องสอด ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 150,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมของผู้ร้องสอดในศาลชั้นต้นเป็นพับและค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ จำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอออกหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11358 พร้อมอาคารเลขที่ 80 และที่ดินโฉนดเลขที่ 12806 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ต่อมาโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 เพิ่มเติมอีก 6 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 238924, 163124, 170721, 24279, 24280 และ 139522
ผู้ร้องขัดทรัพย์ยื่นคำร้องขอขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องขอแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดไต่สวนและมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ
ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ ให้ผู้ร้องขัดทรัพย์ใช้ค่าทนายความแทนโจทก์จำนวน 3,000 บาท (ที่ถูก ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ)
ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ผู้ร้องขัดทรัพย์ใช้ค่าทนายความ 3,000 บาท แทนโจทก์ เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกา ผู้ร้องขัดทรัพย์จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียม (ค่าทนายความดังกล่าว) ซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบมาตรา 247 และประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 แต่ผู้ร้องขัดทรัพย์ไม่นำเงินค่าทนายความ 3,000 บาท มาวางศาลพร้อมฎีกาจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ แม้ศาลชั้นต้นจะรับฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์มาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาผู้ร้องขัดทรัพย์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา (ที่ชำระมาเพียง 200 บาท) ทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องขัดทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ในชั้นฎีกาให้เป็นพับ