แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินของผู้ร้องเนื่องจากหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์มีต่อจำเลยระงับไปแล้ว เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยไม่มีสิทธิบังคับคดีต่อโจทก์อีกต่อไปและการบังคับคดีโดยการยึดที่ดินของผู้ร้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยจะอุทธรณ์ว่าทรัพย์สินที่ยึดเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องและโจทก์ก็ตาม แต่หากหนี้ที่โจทก์มีต่อจำเลยเป็นหนี้ที่ระงับไปแล้ว การยึดที่ดินดังกล่าวย่อมเป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วย ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายจากเหตุดังกล่าวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ใช่การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดโดยอ้างว่าทรัพย์สินที่ยึดไม่ใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288 ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลแรงงานภาค 4 มีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระเงิน 10,556,698 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2554 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย คำขออื่นให้ยกและยกฟ้องโจทก์ วันที่ 31 ตุลาคม 2555 ศาลแรงงานภาค 4 ได้ออกหมายบังคับคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์และจำเลยได้ตกลงกันลดเหลือ 3,300,000 บาท และฝ่ายโจทก์ได้ชำระโดยโอนที่ดินตีชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2556 แล้ว หนี้ตามคำพิพากษาจึงเป็นอันระงับแต่จำเลยได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีจังหวัดกาฬสินธุ์ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 28042 และเลขที่ 24815 ตำบลผาเสวย อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ การบังคับคดีเป็นการไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีจังหวัดกาฬสินธุ์
จำเลยยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานภาค 4 มีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 28042 และเลขที่ 24815 ตำบลผาเสวย อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์ ของผู้ร้อง แจ้งให้พนักงานบังคับคดีทราบ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิกถอนการยึดทรัพย์หรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินทั้งสองแปลงที่จำเลยนำยึดเป็นทรัพย์สินที่โจทก์และผู้ร้องได้มาระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส โดยเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์และผู้ร้อง แม้โจทก์และผู้ร้องจะจดทะเบียนหย่าในภายหลังก็ตาม การยึดทรัพย์เป็นการยึดทรัพย์สินของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตาม คำพิพากษา ผู้ร้องหามีสิทธิที่จะร้องขอเพิกถอนการบังคับคดี แต่ชอบที่จะขอกันส่วนเงินที่ขายทอดตลาดเท่านั้น เห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดที่ดินของผู้ร้องเนื่องจากหนี้ตามคำพิพากษาที่โจทก์มีต่อจำเลยระงับไปแล้ว จึงเป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยไม่มีสิทธิบังคับคดีต่อโจทก์อีกต่อไปและการบังคับคดีโดยการยึดที่ดินของผู้ร้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้จำเลยจะอุทธรณ์ว่าทรัพย์สินที่ยึดเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างผู้ร้องและโจทก์ก็ตาม แต่หากหนี้ที่โจทก์มีต่อจำเลยเป็นหนี้ที่ระงับไปแล้ว การยึดที่ดินดังกล่าวย่อมเป็นการกระทบกระเทือนสิทธิของผู้ร้องในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วย ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายจากเหตุดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ใช่การร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดโดยอ้างว่าทรัพย์สินที่ยึดไม่ใช่ของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตาม มาตรา 288 ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยอุทธรณ์ประการต่อมาว่า การโอนที่ดินสองแปลงให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม2556 เป็นการชำระหนี้บางส่วนเท่านั้น ศาลแรงงานภาค 4 รับฟังข้อเท็จจริงแล้วว่า โจทก์ขอลดยอดหนี้ที่มีต่อจำเลยเหลือ 3,000,000 บาท โดยจะโอนทรัพย์สินตีใช้หนี้ทันที ที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยได้พิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ให้เรียกค่าเสียหายจากโจทก์ 3,300,000 บาท โดยวิธีการตีราคาทรัพย์สินเป็นที่ดิน 6 แปลง ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว และกำหนดให้สิทธิโจทก์ไถ่คืนภายใน 5 ปี ในราคา 3,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2556 จำเลยจดทะเบียนรับโอนที่ดินดังกล่าวตามสำเนาโฉนดที่ดินและบันทึกข้อตกลงเรื่องโอนชำระหนี้จำนอง หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นอันระงับไปแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานภาค 4 เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน